Forgot your password? Create an account
  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
News

Stockwave Online กระแสหุ้นออนไลน์ หุ้น หลักทรัพย์ การเงิน ข่าวเศรษฐกิจ

Home Economic View สรุปประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินรายวัน - ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย
สรุปประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินรายวัน - ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย PDF Print E-mail
Tuesday, 13 October 2015 09:10

Snapshot

 

สหรัฐอเมริกา

- คณะกรรมการการค้าสัญญาล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ของสหรัฐ (CFTC) รายงานว่า กองทุนน้ำมันเริ่มที่จะคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นอีกครั้ง โดยพิจารณาจากการเพิ่มสถานะซื้อสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 เดือน ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนซึ่งรวมถึงผู้จัดการกองทุนเฮดจ์และนักเก็งกำไรอื่นๆ ได้เพิ่มสถานะซื้อสุทธิในตลาดน้ำมันหลายแห่งของสหรัฐขึ้น 19,298 สัญญา สู่ระดับ 167,072 สัญญาในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 6 ต.ค. โดยการเพิ่มขึ้นดังกล่าวซึ่งเทียบเท่ากับน้ำมันเกือบ 20 ล้านบาร์เรลนั้นนับเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดในสัปดาห์เดียวเป็นลำดับที่ 2 นับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี การเพิ่มขึ้นดังกล่าวทำให้สถานะซื้อสุทธิเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม ก่อนที่สถานะขายทำให้ราคาดิ่งลงอย่างหนักในเวลาต่อมา

- นายสแตนลีย์ ฟิชเชอร์ รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า ผู้กำหนดนโยบายของเฟดยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ แต่เรื่องนี้เป็นความคาดหวัง ไม่ใช่ภาระผูกพัน และเรื่องนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ หากเศรษฐกิจโลกผลักดันเศรษฐกิจสหรัฐให้ออกห่างจากแนวทางที่วางไว้มากยิ่งขึ้น นายฟิชเชอร์กล่าวว่าทั้งกำหนดเวลาในการเริ่มต้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการปรับเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในช่วงหลังจากนั้น ล้วนขึ้นอยู่กับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในอนาคตเป็นสำคัญ โดยแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับความไม่แน่นอนเป็นอย่างมากโดยเฉพาะจากแรงกดดันที่ยอดส่งออกได้รับจากการชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจโลก, การลงทุนที่ระดับต่ำในสหรัฐซึ่งเป็นผลจากการดิ่งลงของราคาน้ำมัน และการจ้างงานในสหรัฐที่ชะลอการเติบโตลงในระยะนี้ นายฟิชเชอร์กล่าวว่า เขารู้สึกว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงสร้างงานใหม่ในระดับที่มากพอที่จะบรรลุเป้าหมายของเฟดในด้านภาวะการจ้างงานเต็มที่ และอัตราเงินเฟ้อสหรัฐจะปรับขึ้นในอนาคต และด้วยเหตุนี้ เฟดจึงยังคงมีโอกาสที่จะเริ่มต้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคมหรือธันวาคมปีนี้ อย่างไรก็ดี นายฟิชเชอร์กล่าวเตือนกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ในการประชุมที่กรุงลิมา ประเทศเปรูว่า ปัจจุบันนี้สหรัฐเผชิญความเสี่ยงจากเหตุการณ์ในต่างประเทศมากกว่าแต่ก่อน และการเปลี่ยนแปลงในจีนกับในประเทศอื่นๆได้ส่งผลให้เฟดเลื่อนเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปจากเดือนกันยายน นายฟิชเชอร์กล่าวว่าเราไม่ได้คาดการณ์ในขณะนี้ว่า ผลกระทบที่เศรษฐกิจสหรัฐได้รับจากการเปลี่ยนแปลงในระยะนี้ จะมีขนาดใหญ่พอที่จะส่งผลกระทบอย่างสำคัญต่อแนวทางในการกำหนดนโยบาย อย่างไรก็ดีรายงานการจ้างงานในระยะนี้อยู่ในระดับที่น่าผิดหวัง และเรายังคงจับตาดูการเปลี่ยนแปลงต่างๆอย่างใกล้ชิด เพราะการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ และต่อปัจจัยเสี่ยงต่างๆในแนวโน้มเศรษฐกิจ

- นายเดนนิส ล็อคฮาร์ท ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สาขาแอตแลนตา คาดว่า Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ โดยอาจเกิดขึ้นในเดือนนี้ หรือในเดือนธันวาคม อย่างไรก็ดี ก็กล่าวย้ำว่า เหตุการณ์ต่างๆอาจเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากการตัดสินใจของ Fed จะขึ้นอยู่กับข้อมูลทางเศรษฐกิจและการเงินที่เกิดขึ้น

- นายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) สาขาชิคาโก กล่าวว่า เฟดไม่ควรรีบเร่งในกระบวนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

- กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ระบุว่า การผลิตน้ำมันของสหรัฐจะลดลงในปีหน้า เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี โดย OPEC ได้ปรับลดคาดการณ์การผลิตน้ำมันของสหรัฐสู่ระดับ 280,000 บาร์เรลต่อวันในปีหน้า หรือลดลง 60,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งการปรับลดคาดการณ์ดังกล่าว แตกต่างจากคาดการณ์ของโอเปกก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าสหรัฐฯ จะผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในปีหน้า นอกจากนี้  OPEC ยังระบุว่าการลดค่าใช้จ่ายในการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ อันเนื่องจากราคาน้ำมันที่ตกต่ำลง ทำให้การผลิตน้ำมันของสหรัฐลดลงเร็วกว่าที่คาดไว้

 

ยุโรป: ยูโรโซน

- นายเบอนัวต์ เกอเร่ กรรมการบริหารของธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า เร็วเกินไปที่ ECB จะขยายหรือยืดอายุโครงการซื้อสินทรัพย์ แม้อัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนติดลบก็ตาม ทั้งนี้ หลังจากที่ ECB ได้ดำเนินโครงการซื้อสินทรัพย์ 6.0 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนมาได้ 6 เดือนแล้ว แต่การที่อัตราเงินเฟื้อทั่วไปในยูโรโซนติดลบ ทำให้นักวิเคราะห์หลายคนคาดว่า ECB อาจจะเพิ่มวงเงินในโครงการดังกล่าว หรือขยายเวลาออกไป ทั้งยังกล่าวอีกว่า เศรษฐกิจของยูโรโซนกำลังฟื้นตัว แม้ในอัตราเล็กน้อย และความเสี่ยงในช่วงขาลงที่สำคัญที่สุดมาจากภูมิภาคอื่นๆ โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่

 

เอเชีย : จีน

- กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่าการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในจีนเพิ่มขึ้นกว่า 9% สู่ 5.8474 แสนล้านหยวน (9.23 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ขณะที่ FDI ในจีนในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้เพิ่มขึ้น 9.2% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน

- นายหลู จีเว่ย รมว.คลังจีนกล่าวในการให้สัมภาษณ์ต่อไชน่า บิสเนส นิวส์ว่าช่วงเวลานี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับสหรัฐในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์เศรษฐกิจของโลก นายหลูกล่าวว่า ประเทศพัฒนาแล้วเป็นสาเหตุของปัญหาเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน เพราะเศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้วฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า และไม่ก่อให้เกิดอุปสงค์ที่มากพอ นายหลูกล่าวว่าสหรัฐไม่ได้อยู่ในจุดที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในตอนนี้ และเมื่อคำนึงถึงความรับผิดชอบที่สหรัฐมีต่อทั่วโลกแล้ว สหรัฐก็ไม่สามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในขณะนี้ นายหลูกล่าวว่าสหรัฐควรจะรับผิดชอบต่อประชาคมโลกเพราะว่าดอลลาร์สหรัฐฯมีสถานะเป็นสกุลเงินสากล

- หลังจากประเทศสมาชิก 12 ประเทศในความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) บรรลุข้อตกลงกันในวันที่ 5 ตุลาคม จีนและอินเดียซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิก TPP ก็มีแนวโน้มที่จะเร่งผลักดันการเจรจาเรื่องความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค (RCEP) ในสัปดาห์นี้ เพื่อจะได้แข่งขันกับประเทศสมาชิก TPP ในการเข้าถึงช่องทางการส่งออก โดยประเทศไทยเป็นสมาชิก RCEP ด้วย RCEP เป็นข้อเสนอในการจัดตั้งเขตการค้าเสรี 16 ประเทศซึ่งจะครอบคลุมประชากร 3.4 พันล้านคน และจะถือเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดย RCEP ประกอบด้วย 10 ประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) และอีก 6 ประเทศ ซึ่งได้แก่จีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยรัฐบาลจีนเป็นผู้ผลักดันสำคัญในการจัดตั้ง RCEP เจ้าหน้าที่คนหนึ่งในอินเดียกล่าวว่าประเทศสมาชิก RCEP จะได้รับแรงกดดันให้เร่งรัดการเจรจาต่อรองเรื่อง RCEP ในขณะที่อินเดียต้องการจะเป็นส่วนหนึ่งของการทำข้อตกลงทางการค้าขนาดใหญ่ระดับโลก ถึงแม้การทำข้อตกลง RCEP อาจจะประสบปัญหาจากความขัดแย้งระหว่างจีนกับญี่ปุ่น และระหว่างจีนกับอินเดีย จีนก็มีแรงจูงใจให้ผลักดันการทำข้อตกลงนี้ ธนาคารกลางจีนประเมินว่า การที่รัฐบาลจีนไม่ได้เข้าร่วมใน TPP จะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของจีนไม่ได้รับแรงหนุนราว 2.2%

เวียดนาม

- ฟิทช์ เรทติงส์ระบุว่า ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) จะเป็นปัจจัยหนุนทางเศรษฐกิจในระยะยาวที่สำคัญสำหรับเวียดนาม ฟิทช์เชื่อว่า ข้อตกลง TPP จะมีผลที่มีนัยสำคัญต่อการค้าและนโยบายเศรษฐกิจของเวียดนาม โดยเวียดนามอาจจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่า 10% ในช่วง 10 ปีข้างหน้าจนถึงปี 2025 ภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว

 

ไทย

- นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เผยขณะนี้กระทรวงการคลังได้เสนอมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์มาให้พิจารณาแล้ว แต่ขอหารือรายละเอียดกับนายกรัฐมนตรีก่อน จากนั้นจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ต่อไป เมื่อสัปดาห์ก่อน นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวกับรอยเตอร์โดยคาดว่าในสัปดาห์นี้จะมีการเสนอมาตรการช่วยเหลือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เข้าสู่การพิจารณาของ ครม. โดยจะเน้นไปที่การให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ คือ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เข้าไปช่วยในการปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชน ที่ถูกธนาคารพาณิชย์ปฏิเสธคำขอสินเชื่อในการกู้ซื้อบ้าน

- นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า มีแผนจะนัดเข้าหารือกับ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ภายในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อพูดคุยในเรื่องการใช้เงินสกุลอื่นเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งในระยะแรกจะเน้นสกุลเงินที่ได้รับความนิยมก่อน เช่น ดอลลาร์สหรัฐฯ และสกุลเงินหยวน ทั้งนี้เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์ มีความคาดหวังที่จะให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้สะดวกยิ่งขึ้น ดังนั้นการเปิดให้สามารถใช้สกุลเงินต่างประเทศเข้ามาซื้อขายได้ จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้เกิดปริมาณการซื้อขาย เขากล่าวว่าในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยพยายามพัฒนาในทุกด้าน ทั้งระบบการซื้อขายและการกำกับการซื้อขาย รวมถึงการเพิ่มจำนวนสินค้า ขณะที่จำนวนผู้ลงทุนรายย่อยก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านบัญชี และปัจจุบันนักลงทุนรายย่อยมีสัดส่วนประมาณ 55% ของมูลค่าการซื้อขาย  ขณะเดียวกัน ตลท.จะพยายามทำหน้าที่เป็น Gateway เชื่อมโยงในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง(GMS) ทำให้นักลงทุนเข้ามาใช้ตลาดหุ้นไทยเป็นทางผ่านในการเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างดี

 

Money Market

- บาท/ดอลลาร์ วันจันทร์ (  12 ตค.) เงินบาทแข็งค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในขณะที่สกุลเงินในภูมิภาคหลายสกุลอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงเช้าวันนี้ อย่างไรก็ดีในช่วงสายเงินบาทได้อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯสอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาค ขณะที่ในด้านการคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ล่าสุดนายสแตนลีย์ ฟิชเชอร์ รองประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) กล่าวว่า ผู้กำหนดนโยบายของเฟดยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ แต่เรื่องนี้เป็นความคาดหวัง ไม่ใช่ภาระผูกพัน และเรื่องนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ หากเศรษฐกิจโลกผลักดันเศรษฐกิจสหรัฐให้ออกห่างจากแนวทางที่วางไว้มากยิ่งขึ้น ขณะที่นายหลู จีเว่ย รมว.คลังจีนกล่าวว่าช่วงเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสำหรับสหรัฐในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์เศรษฐกิจของโลก โดยเขากล่าวอีกว่าสหรัฐควรจะรับผิดชอบต่อประชาคมโลกเพราะว่าดอลลาร์สหรัฐฯมีสถานะเป็นสกุลเงินสากล

- เยน/ดอลลาร์ วันจันทร์ (12 ตค.) เงินเยนแข็งค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงเช้าวันนี้หลังจากที่เยนอ่อนค่าเมื่อวันศุกร์ โดยปัจจัยเรื่องความไม่แน่นอนที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้หรือไม่ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐฯชะลอการแข็งค่าในช่วงนี้ ขณะเดียวกันนักลงทุนก็จับตาการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่จะทยอยรายงานออกมาในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้าโดยเฉพาะตัวเลขจีดีพีไตรมาสสามซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ชี้ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและความผันผวนในตลาดการเงิน ทั้งนี้ความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจจีนยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนค่าเงินเยนในช่วงนี้ อย่างไรก็ดีแนวโน้มที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจจะผ่อนคลายนโยบานการเงินมากขึ้นและธนาคารกลางสหรัฐฯอาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้ายังเป็นปัจจัยหลักที่จะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐฯมีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับเยนใน 3-6 เดือนข้างหน้า

- ยูโร/ดอลลาร์ วันจันทร์ ( 12 ต.ค.) เงินยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงเช้าวันนี้ต่อเนื่องจากเมื่อวันศุกร์ในภาวะที่นักลงทุนส่วนหนึ่งมองว่าเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนมากขึ้นอาจส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 

Capital Market

- ตลาดสหรัฐฯ วันจันทร์ ( 12 ต.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวขึ้นเล็กน้อย โดยเป็นการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคที่ช่วยชดเชยการลดลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่นักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 3  ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดบวก  0.28% สู่ 17,131.86,  ดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 0.13% สู่ 2,017.46 และดัชนี Nasdaq ปิดปรับตัวขึ้น 0.17% สู่ 4,838.64

- ตลาดหุ้นเอเชีย วันจันทร์ (12 ต.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่สูงขึ้นในช่วงเช้าวันนี้โดยมีปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนส่วนหนึ่งมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯอาจยังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ซึ่งส่งผลบวกต่อแนวโน้มการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ในช่วงสั้นๆในขณะนี้ ทั้งนี้ในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้านักลงทุนจับตารายงานตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่จะทยอยรายงานออกมามากเป็นพิเศษ เช่นตัวเลขการส่งออกเดือนกันยายน และอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไตรมาสสาม โดยปิดตลาดวันนี้ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเพิ่มขึ้น 3.29% หลังจากธนาคารกลางจีนได้ดำเนินมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่เศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว และระบุว่าการปรับฐานของตลาดหุ้นเกือบสิ้นสุดลงแล้ว ส่วนดัชนีฮั่งเส็งวันนี้ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 1.21% สำหรับตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดทำการวันนี้เนื่องในวันหยุดประจำชาติ

- ตลาดหุ้นไทย วันจันทร์ ( 12 ตค..) ดัชนีตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นในช่วงเปิดตลาดก่อนที่จะปรับตัวลดลงหลังจากนั้นและเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยปิดตลาดวันนี้ SET INDEX เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1.16 จุด โดยวันนี้นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 800.69 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดซื้อสะสมในช่วงวันที่ 1-12 ตุลาคม 2558 รวมทั้งสิ้น 6,272.24  ล้านบาท อย่างไรก็ดีถ้านับจากต้นปีจนถึงวันนี้ยอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศยังสูงถึง 101,270.23 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามภาวะที่นักลงทุนมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไม่ช้า แม้ว่าขณะนี้อาจจะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปก่อนเนื่องจากยังวิตกต่อความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจภูมิภาคอื่นๆก็ตาม

 

โดย สำนักวิจัยธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประจำวันที่ 13 ต.ค. 2558

Comments

B
i
u
Quote
Code
List
List item
URL
Name *
Code   
ChronoComments by Joomla Professional Solutions
Submit Comment
 
 

Login

Forgot your password? Create an account
mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterToday17864
mod_vvisit_counterYesterday34804
mod_vvisit_counterAll days167345442

We have: 678 guests online
Your IP: 52.14.224.197
Mozilla 5.0, 
Today: Apr 20, 2024

4190512