TOA เคาะราคาเสนอขายหุ้นIPOเบื้องต้นที่22-24บาทต่อหุ้น
Print
Friday, 22 September 2017 08:06

บมจ.ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) (“TOA” หรือ “บริษัทฯ”) ผู้นำสีทาอาคารในไทย เปิดช่วงราคาเสนอขายหุ้น IPO เบื้องต้นที่ 22-24 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อวันที่ 27-29 กันยายนนี้ ด้านผู้บริหารตั้งเป้านำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ พัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพภายในบริษัทฯ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ  โดยอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานผลิตหรืออยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการอีก 3 แห่ง ในประเทศอินโดนีเซีย กัมพูชาและเมียนมาร์ คาดทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 2-4 ปี 2561

บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“TOA” หรือ “บริษัทฯ”)     ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้ง บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) และบล. กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และแต่งตั้ง บล. ทิสโก้ จำกัด  บล. ธนชาต จำกัด (มหาชน) บล. เคที ซีมิโก้ จำกัด และ บล. ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่าย

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังจากที่นำเสนอข้อมูลแผนการดำเนินธุรกิจของ TOA ต่อนักลงทุนสถาบัน พบว่านักลงทุนมีความมั่นใจในพื้นฐานธุรกิจและอนาคตที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยบริษัทฯ ได้เข้าทำสัญญาลงทุนในหุ้น (Cornerstone Placing Agreement) กับนักลงทุนในประเทศไทยและต่างประเทศ (Cornerstone Investors) จำนวน 7 ราย ได้แก่ บลจ. กสิกรไทย บลจ. บัวหลวง AIA Company Limited, Thailand Branch บลจ. ไทยพาณิชย์ บลจ. อเบอร์ดีน และกองทุนที่ Hillhouse Capital Management Ltd. มีอำนาจในการจัดการลงทุนจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ Gaoling Fund, L.P. และ YHG Investment, L.P. เป็นจำนวนรวม 175 ล้านหุ้น และได้กำหนดช่วงราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ในเบื้องต้นของ TOA ที่ราคา 22-24 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อ IPO ที่ราคาจองซื้อสูงสุดหรือที่ราคา 24 บาทต่อหุ้นในวันที่ 27-29 กันยายน 2560 และหลังจากนี้จะร่วมกันพิจารณาราคาและจำนวนหุ้นที่นักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการซื้อเข้ามา (Book Building) เพื่อกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย ซึ่งคาดว่าจะประกาศราคาดังกล่าวในวันที่ 29 กันยายนนี้ และจะเปิดให้นักลงทุนสถาบันจองซื้อหุ้น IPO ที่ราคาเสนอขายสุดท้ายในวันที่ 2-4 ตุลาคม 2560

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วมและผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า ปัจจุบัน TOA มีทุนจดทะเบียน 2,029 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,029 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยทุนที่ออกจำหน่ายและเรียกชำระแล้วมีจำนวน 1,775 ล้านหุ้น และ TOA และผู้ถือหุ้นเดิม (บริษัท ไวแบรนท์ โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด) เตรียมเสนอขายหุ้น IPO และหุ้นสามัญเดิม จำนวนไม่เกิน 507.6 ล้านหุ้น ซึ่งแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ  จำนวนไม่เกิน 254.0 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม (บริษัท ไวแบรนท์ โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด) จำนวนไม่เกิน 253.6 ล้านหุ้น รวมคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25.02 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ โดย TOA จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ พัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพในบริษัทฯ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“TOA” หรือ “บริษัทฯ”) กล่าวว่า TOA เป็นผู้ผลิตสีทาอาคารรายใหญ่ที่สุดในไทยเมื่อพิจารณาจากยอดขาย โดยข้อมูลจาก Frost & Sullivan (S) Pte. Ltd. ในปี 2559 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดในไทยประมาณร้อยละ 48.7 ซึ่งการที่บริษัทฯ เป็นผู้นำตลาดในประเทศไทยได้นั้นเกิดจากความเชี่ยวชาญในธุรกิจ มีการประหยัดต่อขนาดการผลิต (Economies of Scale) มีตราสินค้าให้เป็นที่รู้จักและจดจำของผู้บริโภคอย่างแพร่หลาย มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เป็นนวัตกรรมโดยใช้เทคโนโลยีการผลิตชั้นสูง ตลอดจนมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและช่องทางการจำหน่ายที่ครอบคลุมและยังมีส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวในเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ประมาณร้อยละ 13.0

“เรามีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำตลาดของผู้ใช้สีและปกป้องพื้นผิวในระดับภูมิภาคอาเซียน โดยเชื่อว่าด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและความมุ่งมั่นในการวิจัยประกอบกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการมีตราสินค้าที่เป็นที่ยอมรับ มีเครือข่ายการจัดจำหน่ายและฐานการผลิตที่ครอบคลุมพื้นที่เขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้” นายจตุภัทร์ กล่าว

นายพงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TOA กล่าวว่า บริษัทฯ แบ่งผลิตภัณฑ์หลักเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่         1. กลุ่มผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร (Decorative Paint and Coating Products) เกรดพรีเมียม เกรดปานกลางและเกรดอีโคโนมี่ รวมถึงสีทาอาคารประเภทอื่นๆ รวมประมาณ 9,168 หน่วยเก็บสินค้า (SKUs) ภายใต้ตราสินค้าจำนวน 114 ตราสินค้า เช่น ซุปเปอร์ชิลด์ (SuperShield) ซุปเปอร์ชิลด์ ดูราคลีน เอ พลัส (SuperShield DURACLEAN A+) ทีโอเอ เซเว่น อิน วัน (TOA 7 in 1) ทีโอเอ เอ็กซ์ตร้า เวท (TOA ExtraWet) ทีโอเอ กลิปตั้น (TOA GLIPTON)  ทีโอเอ ชิลด์วัน  นาโน (TOA Shield-1 Nano) โฟร์ซีซันส์ (4Seasons) เป็นต้น โดยมีรายได้จากผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้คิดเป็นร้อยละ 68.9 ของรายได้จากการขายสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560 และ 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น (Non-Decorative Paint and Coating Products) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวสำหรับงานไม้ ผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์สีที่มีความทนทานสูง ผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมประมาณ 2,775 หน่วยเก็บสินค้า (SKUs) ภายใต้ตราสินค้าต่างๆ จำนวน 89 ตราสินค้า อาทิ ทีโอเอ วู๊ดสเตน (TOA Wood Stain) เฮฟวี่การ์ด (HeavyGuard) ผลิตภัณฑ์ทีโอเอ เคมีก่อสร้าง (TOA Construction Chemicals) วิน (WIN) และโกเบ (KOBE) และภายใต้ตราสินค้าของบุคคลอื่น ซึ่งบริษัทฯ ไม่ได้เป็นผู้ผลิต เช่น RYOBI  เป็นต้นโดยผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีรายได้คิดเป็นร้อยละ 27.5 ของรายได้จากการขายในรอบ 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2560

ขณะเดียวกัน ยังได้พัฒนาเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทย โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 มีช่องทางจำหน่ายหลัก ประกอบด้วย ช่องทางผู้ค้าปลีกประมาณ 6,217 ราย ใน 77 จังหวัด ประมาณ 790 อำเภอทั่วประเทศ และมีผู้ค้าปลีกใน AEC (ไม่รวมประเทศไทย) อีกประมาณ 1,854 ราย ช่องทางธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) และช่องทางอื่นๆ อาทิ งานโครงการ ส่งออก เป็นต้น รวมถึงมีเครื่องผสมสีอัตโนมัติ (Auto Tinting Machine) ที่ติดตั้งในร้านค้าปลีกและธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในประเทศไทยจำนวน 4,140 เครื่อง และใน AEC อีก 1,791 เครื่อง ซึ่งสามารถสร้างเฉดสีต่างๆ ได้มากกว่า 10,000 เฉดสี ภายใน 3 นาที ช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างสรรค์เฉดสีได้ตามต้องการและเพิ่มโอกาสในการขาย

ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2560 TOA มีโรงงานผลิต 8 แห่ง ใน 6 ประเทศ ในจำนวนนี้อยู่ในประเทศไทย 3 แห่ง และในต่างประเทศอีก 5 แห่ง ได้แก่ เวียดนาม สปป.ลาว มาเลเซีย เมียนมาร์และกัมพูชา ประเทศละ 1 แห่ง มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 88.0 ล้านแกลลอนต่อปี (ไม่รวมโรงงานผลิตในกัมพูชาภายใต้ TOA Skim Coat (Cambodia) Co., Ltd. ซึ่งเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ ในเดือนมิถุนายน 2560)

ปัจจุบันบริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตสีแห่งใหม่ในต่างประเทศอีก 3 แห่ง ใช้เงินลงทุนรวม 1,184 ล้านบาท ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย คาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 2/61 ประเทศเมียนมาร์ ซึ่งจะย้ายโรงงานจากเมืองย่างกุ้งไปอยู่ที่เขตเศรษฐกิจติละวา คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/61 และประเทศกัมพูชา อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการและคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 4/61  โดยเมื่อโรงงานผลิตสีทั้ง 3 แห่งก่อสร้างแล้วเสร็จและดำเนินการตามแผนปิดโรงงานย่างกุ้ง ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในต้นปี 2562 TOA จะมีกำลังการผลิตรวมเพิ่มขึ้นเป็น 102.5 ล้านแกลลอนต่อปี (เพิ่มขึ้นจากเดิมอีก 14.5 ล้านแกลลอนต่อปี) เพื่อตอบสนองความต้องการใช้สีในภูมิภาคอาเซียนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีการเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวใน AEC

Written by :
กระแสหุ้นออนไลน์
 

Comments

B
i
u
Quote
Code
List
List item
URL
Name *
Code   
ChronoComments by Joomla Professional Solutions
Submit Comment