| 3 หุ้นเด่น รองรับไทยเข้มแข็ง |
|
| Thursday, 08 October 2009 12:37 | |
|
ครึ่งปีที่ผ่านมา การลงทุนของภาคเอกชนชะลอตัว ไปจนถึงหยุดชะงัก โดยได้ทรงตัวมาจนถึงกลางปีที่ผ่านมา จนส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทรับเหมาก่อสร้างอย่างชัดเจน ขณะที่โครงการภาครัฐก็มีเกิดขึ้นน้อยมาก ทำให้การรับงานของผู้ประกอบการจึงแทบไม่มีเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการลงทุนในต่างประเทศก็เข้าสู่ภาวะถดถอยไม่แพ้กัน โดยเฉพาะงานก่อสร้างในแถบตะวันออกกลางที่เคยคึกคัก ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาทำให้หุ้นในกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างไม่ค่อยได้รับความสนใจมากนัก ประกอบกับเข้าช่วงหน้าฝนยิ่งทำให้ทิศทางของหุ้นในกลุ่มนี้ขาดเสน่ห์และความโดดเด่นจากฤดูฝนที่กระทบงานก่อสร้างอย่างชัดเจน ทำให้ผลประกอบการมีแนวโน้มชะลอตัวอย่างมาก จึงมองได้ว่าโอกาสของหุ้นในกลุ่มนี้ไตรมาส 3 จึงยังไม่เหมาะสมที่จะเข้าไปลงทุน แต่ในมุมมองของ “ธณพงศ์ มีทอง” ในมุมข่าว มองจังหวะในการสะสมหุ้นเป็นเดือนกันยายน เพื่อรองรับการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลผ่านโครงการไทยเข้มแข็งที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552 เป็นต้นไป ประเด็นที่น่าสนใจ จากงานภาครัฐกับงบประมาณการก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานมากขึ้น รวมถึงความต่อเนื่องของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สีเขียวฯลฯ ที่ต่อเนื่องจากสายสีม่วง รวมทั้งงานภาคเอกชนที่เริ่มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการปรับผังเมืองรวมใหม่ของกรุงเทพมหานคร ที่จะมีการพัฒนาที่ดินเชิงพาณิชย์ -ที่อยู่อาศัย ในทำเลที่มีผลกระทบจากโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ อาทิ แนวรถไฟฟ้า เช่น ศูนย์มักกะสัน แอร์พอร์ตลิงค์ ท่าเรือ การขยายเฟสสุวรรณภูมิ ที่ดินรอบศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นอกจากนี้ ยังมีโครงการอื่นๆ เช่น การพัฒนาบริเวณบางซื่อเป็นศูนย์กลางการเดินทาง ทั้งทิศเหนือและทิศใต้ ทั้งรถไฟทางไกลและรถไฟชานเมือง ของสำนักงานนโยบายและแผน การขนส่งและจราจร(สนข.) รวมทั้งเส้นทางเร่งด่วน 5 โครงการ 7 เส้นทาง ได้แก่สายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน-สายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต สายสีแดงช่วง บางซื่อ-พญาไท-หัวหมาก สายสีน้ำเงิน บางซื่อ-ท่าพระ หัวลำโพง-บางแค สายสีเขียว แบริ่ง-สำโรง-สมุทรปราการ-บางปู สายสีเขียวหมอชิต-พหลโยธิน-สะพานใหม่-ลำลูกกา สายสีม่วงบางใหญ่-บางซื่อ และกำลังศึกษาความเหมาะสม อีก 3 เส้นทาง ได้แก่ สายสีชมพู แคราย-มีนบุรี สายสีน้ำตาล บางกะปิ-มีนบุรี สายสีเหลืองเข้ม พัฒนาการ-สำโรง ซึ่งคาดว่า นี่เป็นเฉพาะในส่วนของกทม.เท่านั้น ยังไม่รวมในต่างจังหวัดกับโครงการถนนปลอดฝุ่นทั่วประเทศ
ITD โดดเด่นเบอร์หนึ่ง หนึ่งในหุ้นที่แนะนำคือ ITD จากที่เป็นหุ้นรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ที่สุด บล.เกียรตินาคิน แนะนำให้ทยอยซื้อ ราคาเหมาะสมที่ 4.28 บาท ผลประกอบการครึ่งปีแรกฟื้นตัวจากขาดทุน โดยมีกำไรสุทธิ 56 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 114% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีที่แล้ว D/E อยู่ที่ 3.35 เท่า มีงานในมือ (Backlog) โดยรวมทั้งในและต่างประเทศอยู่ที่ 96,990ล้านบาท มีงานอยู่ระหว่างเสนอราคา Lowest Bid ที่ 46,775 ล้านบาท งานที่มีมูลค่าโครงการมากสุดคือ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ก่อสร้างอาคารรักษาพยาบาล 6,317ล้านบาท โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา คืองาน กฟภ. (งานเคเบิ้ลใต้น้ำ) มูลค่า 548ล้านบาท และงาน Oriental Residence 456ล้านบาท โดยงานในมือหลักมาจาก งานก่อสร้างอาคาร งานเหมืองแร่ และงานสนามบิน นอกจากนั้นยังมีงานของ ITD Cementation และงาน PT Thailindo เป็นต้น มุมมองผม “ธณพงศ์ มีทอง” ITD ยังปรับตัวขึ้นช้า เมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทั้งที่เป็นเบอร์หนึ่งของธุรกิจนี้ จึงนับเป็นหุ้นเด่นที่น่าสนใจ โดยข้อมูลจาก SAA Consensus ใน SETTRADE.COM จาก 12 โบรกเกอร์ให้ราคาเฉลี่ย 3.27 บาท ราคาสูงสุดอยู่ที่ 5.10 บาท ต่ำสุดอยู่ที่ 2.00 บาท
CK รับรู้รายได้เร็วครึ่งปีหลังดี ต่อมาคือ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน)หรือ CK สถาบันวิจัยนครหลวงไทย (SCRI) วิเคราะห์ว่า การเซ็นสัญญาก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วงสัญญาที่ 1 มูลค่า 14,292 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีงานในมือเพิ่มขึ้นประมาณ 2 หมื่นล้านบาท และจากการเซ็นสัญญาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงมีแนวโน้มสูงที่จะทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้จากงานรถไฟฟ้าบางส่วนใน Q4/52 พร้อมกับการทยอยรับรู้งานในมืออย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปริมาณงานจากภาครัฐที่จะเริ่มออกมาต่อเนื่อง คาดจะทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้น จุดเด่นของ CK คือ ความสามารถในการประมูลงานได้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งจากโครงการของภาครัฐบาลและเอกชน อาทิ โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง งานก่อสร้างให้แก่ TTW และโรงไฟฟ้า SPP มูลค่าราว 6,000 ล้านบาท รวมทั้งปัจจัยบวกจากการเข้าประมูลเพื่อรับงานภาครัฐทั้งในและต่างประเทศมูลค่ากว่า 1.4 แสนล้าน ช่วยผลักดันให้ผลการดำเนินงานในอนาคตของบริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ดังนั้น SCRI จึงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยมีมูลค่าเหมาะสมที่ 2552 เท่ากับ 5.21 บาท/หุ้น มุมมองของผม “ธณพงศ์ มีทอง” กับ CK ได้ปรับตัวรับข่าวโครงการรถไฟฟ้าไปแล้ว ขณะที่งานใหม่แม้จะมีเข้ามาต่อเนื่อง โดยจะเริ่มรับรู้รายได้เพิ่มขึ้น ทำให้เป็นอีกหนึ่งของหุ้นในกลุ่มรับเหมาะที่น่าสนใจ แต่เมื่อเทียบกับ ITD พบว่าราคาหุ้นของ CK ในเบื้องต้นราคาใกล้เคียงกับราคาพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ จึงทำให้มีความโดดเด่นน้อยกว่า ขณะเดียวกัน ข้อมูลจาก SAA Consensus ใน SETTRADE.COM จาก 14 โบรกเกอร์ให้ราคาเฉลี่ย 4.99 บาท ราคาสูงสุดอยู่ที่ 6 บาท ต่ำสุดอยู่ที่ 3.50 บาท
STEC ฐานะการเงินแข็งแกร่ง บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส มองแนวโน้มของ STEC เป็นบวกด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นบริษัทเดียวที่ได้รับงานรถไฟฟ้าสายสีม่วง สัญญา 2ไปเต็มที่ เพราะไม่มีการร่วมทุนกับใครต่างจากอีก 2 สัญญา ที่มีการร่วมทุน ส่วนงานที่เสนอราคาไปต่ำที่สุดแล้วแต่รอลงนามในสัญญาก่อสร้างคือ 1) งานปิโตรเคมีของ Dow มูลค่า 666 ล้านบาท 2) งานอาคารของหน่วยงานทหารเรือ 400 ล้านบาทเศษ คาดว่าเมื่อมีการลงนามจะเป็นข่าวดีส่วนการประมูลรถไฟฟ้าสายสีอื่นๆ เช่น สีแดง บริษัทอาจจะต้องมีการร่วมทุน เพื่อให้มีคุณสมบัติเพียงพอ เพราะบริษัทมีข้อจำกัดเรื่องทุนจดทะเบียน พร้อมกับแนะนำ "ซื้อ" ราคาพื้นฐานเป็น 5.42 บาทโดยใช้ P/E ปี 53 ในการประเมินคือ 20.0 เท่า ที่ให้สูง เพราะคาดว่าในปี 54 และ 55 จะมีการเติบโตสูง เมื่อมีการรับรู้โครงการรถไฟฟ้าเต็มที่ นอกจากนี้การที่รัฐจะกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะที่ 2 ปี 53-55 มูลค่าเงินลงทุนสูงเป็น 1.431 ล้านล้านบาท เป็นการจัดสรรไปยังการขนส่งและโลจิสติกส์ 0.571 ล้านล้านบาท หรือเป็นสัดส่วนถึง 40% นั้น จะก่อให้เกิดงานก่อสร้างเป็นจำนวนมากในอนาคต STEC ก็จะมีโอกาสทางธุรกิจสูง นอกจากนี้ STEC เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างที่มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งที่สุดในหมวดผู้รับเหมาก่อสร้างอีกด้วย มุมมองของผม “ธณพงศ์ มีทอง” กับ STEC ได้ปรับตัวรับข่าวโครงการรถไฟฟ้าไปแล้วเช่นกัน แต่มีข้อดีคือฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีความพร้อมไม่ต่างจาก ITD และ CK เชื่อว่าจะมีงานใหม่เข้ามาต่อเนื่อง ราคาหุ้นได้ปรับตัวใกล้เคียงกับราคาพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ให้ไว้ จึงทำให้มีความโดดเด่นน้อยกว่า ขณะเดียวกัน ข้อมูลจาก SAA Consensus ใน SETTRADE.COM จาก 13 โบรกเกอร์ให้ราคาเฉลี่ย 4.94 บาท ราคาสูงสุดอยู่ที่ 5.90 บาท ต่ำสุดอยู่ที่ 3.83 บาท
ธณพงศ์ มีทอง
|
Comments