สรุปประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินรายวัน - ธ.ซีไอเอ็มบี ไทย |
Thursday, 12 July 2018 09:32 | |||
สถานการณ์เศรษฐกิจต่างประเทศ นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษให้คำมั่นว่า รัฐบาลอังกฤษจะเดินหน้ากระบวนการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้จะต้องเผชิญกับวิกฤตการเมืองภายหลังจากที่รัฐมนตรีกระทรวงสำคัญและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ Brexit หลายคนได้ยื่นหนังสือลาออก เพื่อแสดงจุดยืนประท้วงต่อต้านแผน Brexit ของผู้นำอังกฤษ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในเดือนมิถุนายนปรับตัวขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งการปรับตัวขึ้นของดัชนี PPI ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน และค่าใช้จ่ายในภาคบริการ และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI เพิ่มขึ้น 3.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2554 หลังจากเพิ่มขึ้น 3.1% ในเดือนพฤษภาคม นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี PPI ปรับตัวขึ้น 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบรายปี ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหาร, พลังงาน และภาคบริการ เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพฤษภาคม เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พื้นฐานปรับตัวขึ้น 2.7% หลังจากเพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือนก่อน เทสลา มอเตอร์ส ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐ ประกาศสร้างโรงงานผลิตรถยนต์แห่งแรกนอกสหรัฐที่นครเซี่ยงไฮ้ของจีน ทั้งนี้ นายอีลอน มัสก์ ประธานบริษัทเทสลา และนายหยิง หย่ง นายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้ ได้เข้าร่วมในพิธีลงนามข้อตกลงสร้างโรงงานผลิตรถยนต์เทสลาเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เทสลาระบุว่า การก่อสร้างโรงงานจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ทันทีที่บริษัทได้รับใบอนุญาตอย่างเป็นทางการ โดยการผลิตรถยนต์จะเริ่มต้นหลังจากนี้ 2-3 ปี ขณะที่บริษัทมีเป้าหมายผลิตรถยนต์ 500,000 คันต่อปี อย่างไรก็ดี ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับวงเงินลงทุนดังกล่าว ทางด้านนครเซี่ยงไฮ้ออกแถลงการณ์ระบุว่า โรงงานผลิตรถยนต์เทสลาถือเป็นการลงทุนจากต่างประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในเซี่ยงไฮ้ นอกจากนี้ เทสลายังระบุว่า ทางบริษัทจะตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาที่เซี่ยงไฮ้เช่นกัน กระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกแถลงการณ์ว่า จีนจะใช้มาตรการตอบโต้ หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แถลงการณ์ของกระทรวงระบุว่า รัฐบาลจีนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะใช้มาตรการที่จำเป็น จีนขอประท้วงการตัดสินใจของสหรัฐที่ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนรอบใหม่นี้ โดยระบุว่า เป็นการกระทำที่ไม่สามารถยอมรับได้อย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนกล่าวว่า การกระทำที่ไม่มีเหตุผลของสหรัฐนั้น ไม่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย และจีนจะนำเรื่องดังกล่าวฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีขึ้นหลังจากนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ออกแถลงการณ์ว่า รัฐบาลสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ โดยจะเรียกเก็บในอัตรา 10% ซึ่งครอบคลุมถึงสินค้าจำนวน 6,031 รายการ ตั้งแต่สินค้าเพื่อผู้บริโภคไปจนถึงสินค้าด้านการเกษตร โดยมาตรการล่าสุดนี้คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย. สำนักงานคณะรัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรมต่อเรือและสาธารณูปโภค ปรับตัวลดลง 3.7% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สู่ระดับ 9.079 แสนล้านเยน หรือประมาณ 8.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยอดสั่งซื้อเครื่องจักรพื้นฐานถือเป็นดัชนีวัดการใช้จ่ายด้านทุนของบริษัทเอกชนญี่ปุ่น โดยที่ผ่านมานั้น บริษัทเอกชนญี่ปุ่นได้เพิ่มการใช้จ่ายเพื่อขยายศักยภาพด้านการผลิตให้เพียงพอรองรับอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในต่างประเทศ และได้นำเครื่องจักรมาใช้แทนคนในการทำงาน เพื่อรองรับภาวะขาดแคลนแรงงานภายในประเทศ นายอิสฮัค จาฮานกีรี รองประธานาธิบดีอิหร่านเปิดเผยว่า อิหร่านไม่ยอมจำนนต่อมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐ ที่อาจจะเริ่มขึ้นในเดือนหน้า สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัดล์ ทรัมป์ของสหรัฐประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านในเดือนพ.ค. พร้อมกับขู่ว่าจะทำการคว่ำบาตรอิหร่านอย่างรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ หากอิหร่านไม่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม สหรัฐยังได้เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ และบริษัทน้ำมัน ระงับการซื้อน้ำมันดิบจากอิหร่านภายในวันที่ 4 พ.ย. มิฉะนั้นจะถูกสหรัฐทำการคว่ำบาตร ทั้งนี้ วันที่ 4 พ.ย.ถือเป็นวันครบกำหนด 180 วันนับจากวันที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งจะทำให้ปธน.ทรัมป์สามารถออกคำสั่งคว่ำบาตรอิหร่านครั้งใหม่ สำนักงานศุลกากรเกาหลีรายงานว่า ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ปรับตัวลดลงเล็กน้อยในช่วงวันที่ 1-10 ก.ค. ขณะที่ยอดนำเข้าปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราเลขหลักสิบ ยอดส่งออก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ อยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงวันที่ 1-10 ก.ค. ลดลง 1.9% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนยอดส่งออกเฉลี่ยรายวันปรับตัวลดลง 8.4% แตะ 1.86 พันล้านดอลลาร์ฯในช่วงเวลาดังกล่าว โดยสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ยอดส่งออกปรับตัวลดลง 1.5% ในเดือนเม.ย. จากนั้นได้ดีดตัวขึ้น 13.5% ในเดือนพ.ค. แต่แทบไม่เปลี่ยนแปลงในเดือนมิ.ย. เมื่อแยกตามประเภทแล้ว ยอดส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ ผลิตภัณฑ์น้ำมัน และยานยนต์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราเลขหลักสิบในช่วงวันที่ 1-10 ก.ค. แต่ยอดส่งออกเรือร่วงหนักถึง 94.7% ยอดส่งออกไปจีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ยอดส่งออกไปออสเตรเลียและสิงคโปร์ปรับตัวลดลงในอัตราเลขหลักสิบ ขณะเดียวกัน ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 19.3% แตะที่ระดับ 1.49 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วงวันที่ 1-10 ก.ค. เนื่องจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกนั้นส่งผลให้ต้นทุนนำเข้าปรับตัวขึ้นตาม ยอดนำเข้าเครื่องจักร รถโดยสาร และก๊าซธรรมชาติ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ยอดนำเข้าอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์และถ่านหินปรับตัวลดลง
ปัจจัยต่างประเทศ (12 กรกฎาคม 2561): ตามเวลาประเทศไทย ประเทศ ปัจจัย จีน - การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เดือนมิ.ย. - ยอดปล่อยกู้ใหม่สกุลเงินหยวนเดือนมิ.ย. เยอรมนี,ฝรั่งเศส - ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย. EU - การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ค. USA - ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย. - ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ปัจจัยในประเทศ วันที่ ปัจจัย สัปดาห์ที่ 2 - ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แถลงข้อมูลสรุปภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ - ศูนย์วิจัยทองคำแถลงดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำประจำเดือน Source: https://www.ryt9.com/s/iq03/2851586
Money Market - ดอลลาร์/บาท วันพุธ (11 ก.ค.) เงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในเช้าวันนี้ ขณะที่วันนี้มีปัจจัยลบจากการที่ทางการสหรัฐฯประกาศแผนในการที่จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนอีก 10% มูลค่าสินค้า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากที่มาตรการขึ้นภาษีสินค้าจีน 25% มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯเพิ่งมีผลไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยมาตรการใหม่นี้จะมีระยะเวลาในการรับฟังความเห็นสาธารณะประมาณ 2 เดือน ดังนั้นปฏิกิริยาของนักลงทุนต่อข่าวนี้จังอาจยังไม่มากในช่วงนี้ อีกทั้งก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯก็เคยกล่าวว่าอาจจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนมูลค่าสูงถึง 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งเท่ากับมูลค่าการนำเข้าสินค้าจีนทั้งหมดในปีที่ผ่านมา ดังนั้นนักลงทุนจึงยังจับตาต่อไปว่าปัญหาการค้าสหรัฐฯกับจีนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในอนาคต โดยหากแย่ไปกว่านี้ก็จะส่งผลลบต่อทั้งสหรัฐฯกับจีนรวมทั้งประเทศในเอเซียหลายประเทศที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตสินค้า และมีโอกาสสูงที่เงินทุนจะไหลออกจากตลาดเอเชีย และจีนอาจจะปล่อยให้เงินหยวนอ่อนค่าเร็วขึ้น ซึ่งก็เป็นไปได้สูงที่จะกดดันเงินบาทให้อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ - ดอลลาร์/เยน วันพุธ (11 ก.ค.) เงินเยนอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในช่วงเช้าวันนี้ อย่างไรก็ดีปัญหาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะผ่อนคลายลงคาดว่าจะยังเป็นปัจจัยที่จำกัดการอ่อนค่าของเยนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯเนื่องจากเงินเยนเป็นสกุลเงินที่มีความเสี่ยงต่ำทำให้นักลงทุนมักจะถือเยนมากขึ้นเมื่อมีความวิตกเรื่องความเสี่ยงต่างๆทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ - ยูโร/ดอลลาร์ วันพุธ (11 ก.ค.) เงินยูโรอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯในเช้าวันนี้ โดยประเด็นเรื่องสงครามการค้ายังเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนจับตาในช่วงนี้
Capital Market - ตลาดหุ้นสหรัฐฯวันพุธ (11 ก.ค.) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงกว่า 200 จุด เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ในวันก่อน โดยความวิตกกังวลในเรื่องดังกล่าวได้ฉุดหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลงอย่างหนัก ซึ่งรวมถึงหุ้นโบอิ้งและแคทเธอร์พิลลาร์ ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 24,700.45 จุด ลดลง0.88% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,774.02 จุด ลดลง 0.71% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,716.61 จุด ลดลง 0.55% - ตลาดหุ้นเอเชีย วันพุธ (11 ก.ค.) ดัชนีนิกเกอิปิดลดลงในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นหลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ อย่างไรก็ตาม แรงซื้อคืนในช่วงบ่ายได้ช่วยสกัดการร่วงลงอย่างหนักของช่วงเช้าเอาไว้ได้โดยดัชนีนิกเกอิปิดลดลง 1.19% มาอยู่ที่ 21,932.21 นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ออกแถลงการณ์ว่า รัฐบาลสหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ โดยจะเรียกเก็บในอัตรา 10% ซึ่งครอบคลุมถึงสินค้าจำนวน 6,031 รายการ ตั้งแต่สินค้าเพื่อผู้บริโภคไปจนถึงสินค้าด้านการเกษตร โดยมาตรการล่าสุดนี้คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนก.ย. ทางด้านกระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกแถลงการณ์ในเวลาต่อมาว่า จีนจะใช้มาตรการตอบโต้ และจะนำเรื่องดังกล่าวฟ้องร้องต่อองค์การการค้าโลก (WTO) โดยดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตปิดลบ 1.76% มาอยู่ที่ 2,777.77 ส่วนดัชนีฮั่งเส็งปิดวันนี้ลดลง 1.29% มาอยู่ที่ 28,311.69 - ตลาดหุ้นไทย วันพุธ (11 ก.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ลดลงในช่วงเปิดตลาดก่อนที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นและเคลื่อนไหวอยู่ในแดนลบตลอดช่วงเช้า โดยในช่วงบ่ายดัชนียังทรงตัวอยู่ในแดนลบ ทั้งนี้การลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้สอดคล้องกับการลดลงของดัชนีตลาดหุ้นเอเซียส่วนใหญ่เนื่องจากนักลงทุนกังวลหลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มอีก 2 แสนล้านดอลลาร์ฯ โดยปิดตลาดวันนี้ SET INDEX ลดลง 6.97จุด
โดย สำนักวิจัยธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย ประจำวันที่ 12 ก.ค. 2561
|
Today | 23078 | |
Yesterday | 44584 | |
All days | 167563721 |
Comments