บีโอไอ เผยยอดขอลงทุน9เดือนปีนี้พุ่ง44.7% |
![]() |
![]() |
![]() |
Wednesday, 13 October 2010 12:08 | |||
นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนช่วง 9 เดือนปีนี้(ม.ค.-ก.ย.53) ว่า มีนักลงทุนให้ความสนใจยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนผ่านบีโอไอ จำนวนทั้งสิ้น 1,107 โครงการ เพิ่มขึ้นประมาณ 44.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 765 โครงการ ขณะที่มูลค่าเงินลงทุนอยู่ที่ 286,100 ล้านบาท ปรับลดลงเล็กน้อย หรือ ประมาณ 2.69% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่าอยู่ที่ 294,000 ล้านบาท" "มีกว่า 1,000 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนเกือบ 3 แสนล้านบาท โดยกลุ่มกิจการขนาดกลางไม่เกิน 500 ล้านบาท ได้รับความสนใจสูงสุดเพิ่มจากปีก่อน 46% ขณะที่การขอรับส่งเสริมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(FDI) จากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน ยังแรงครอง 3 อันดับลงทุนสูงสุด" โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสูงสุด ได้แก่ กิจการบริการ และสาธารณูปโภค มีจำนวน 308 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 125,300 ล้านบาท กิจการเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร 191 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 44,000 ล้านบาท และกิจการผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง 215 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 34,700 ล้านบาท เป็นต้น นางอรรชกา กล่าวอีกว่า จำนวนโครงการที่เพิ่มขึ้นมากแสดงให้เห็นถึงความสนใจของกลุ่มนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในไทยมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และขยายตัวชัดเจน โดยส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนขนาดกลางที่มีมูลค่าประมาณ 20-500 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวนถึง 683 โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่การลงทุนกลุ่มนี้จะอยู่ที่ 468 โครงการ หรือเพิ่มขึ้น 46% ทำให้มูลค่าการลงทุนไม่ขยายมากนัก อย่างไรก็ตาม ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ นอกจากการลงทุนในกลุ่มขนาดกลางแล้วจะยังมีการลงทุนขนาดใหญ่เข้ามาเพิ่มขึ้นอีกมาก อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ พลังงานทดแทน เลขาธิการบีโอไอ กล่าวว่า สำหรับสถิติ FDI ในช่วงเดียวกันนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 605 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 132,996 ล้านบาท โดยจำนวนโครงการเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 488 โครงการ หรือเพิ่มขึ้น 23.98% ขณะที่มีมูลค่าเงินลงทุนใกล้เคียงกับมูลค่าเงินลงทุนในช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีมูลค่า 136,409 ล้านบาท ทั้งนี้ การลงทุนจากญี่ปุ่นยังเป็นกลุ่มที่เข้ามาลงทุนสูงสุดมีทั้งสิ้น 256 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 55,153 ล้านบาท รองมาคือ การลงทุนจากประเทศสิงคโปร์มีทั้งสิ้น 48 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 8,873 ล้านบาท และการลงทุนจากประเทศจีนที่มี 22 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 8,623 ล้านบาท เป็นต้น โดยทั้ง 3 ประเทศเป็นกลุ่มประเทศที่เข้ามาลงทุนและมีสัดส่วนจำนวนโครงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน "แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของการขยายการลงทุนเพิ่มเติมในไทย โดยญี่ปุ่นมีการลงทุนโครงการเพิ่มขึ้นถึง 45.45% ขณะที่ประเทศสิงคโปร์มีจำนวนเพิ่มขึ้น 20% และการลงทุนจากจีนมีจำนวนโครงการเพิ่มขึ้น 37.5%" นางอรรชกา กล่าว
|
![]() | Today | 1427 |
![]() | All days | 1427 |
Comments