| ธสน.หนุนไทยฟู้ดส์ กรุ๊ปขยายธุรกิจปศุสัตว์ครบวงจรรับAEC |
|
|
|
| Thursday, 13 September 2012 12:17 | |||
|
ธสน. ลงนามในสัญญาเงินกู้ 500 ล้านบาทแก่ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป สนับสนุนการขยายธุรกิจปศุสัตว์ครบวงจร รองรับการเปิดตลาด AEC ในปี 2558
นายคนิสร์ สุคนธมาน กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) และ น.สพ.ไชยศักดิ์ บุญประสพธนโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินของ ธสน. จำนวน 500 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2555 ณ ธสน. สำนักงานใหญ่ เพื่อให้ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป นำไปใช้เป็นวงเงินหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจปศุสัตว์ครบวงจร ตั้งแต่ธุรกิจอาหารสัตว์ ฟาร์มพ่อพันธุ์แม่พันธุ์และเลี้ยงไก่ จนถึงการผลิตเนื้อไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสัตว์ สำหรับจำหน่ายในประเทศและป้อนสู่ตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC)
ธสน. ให้การสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนแก่ไทยฟู้ดส์ กรุ๊ปในครั้งนี้ เนื่องจากศักยภาพของไทยฟู้ดส์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มบริษัทที่ดำเนินธุรกิจปศุสัตว์ครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทยที่มีพัฒนาการทางธุรกิจการเลี้ยงสัตว์มายาวนานกว่า 20 ปี ปัจจุบันกลุ่มบริษัทผลิตสินค้าสำหรับจำหน่ายในประเทศเกือบทั้งหมด แต่สินค้าได้รับมาตรฐานส่งออกและมีบางส่วนจำหน่ายให้แก่ผู้ส่งออก ซึ่งถือเป็นการส่งออกทางอ้อม อีกทั้งธุรกิจของกลุ่มบริษัทมีส่วนช่วยในการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรของไทย ประกอบกับอุตสาหกรรมไก่สดแปรรูปมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น ในปัจจุบันไทยฟู้ดส์ กรุ๊ปจึงเตรียมการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับอุปสงค์ที่จะมีมากขึ้นจากการเปิดเสรีทางการค้าภายใต้ AEC ในปี 2558
“นับเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ และส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรของไทย นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการเผยแพร่ชื่อเสียงของอาหารไทยในตลาดโลก ตั้งแต่วัตถุดิบในการปรุงอาหารไปจนถึงผลิตภัณฑ์อาหาร” นายคนิสร์ กล่าว
สศค.เปิดสัมมนาวิชาการ “การลงทุนไทยในต่างประเทศ : โอกาสหรือความเสี่ยง?”
( 13 กันยายน 2555) – ดร.สมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้แถลงผลการสัมมนาวิชาการของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ครั้งที่ 9 ประจำปี 2555 “การลงทุนไทยในต่างประเทศ : โอกาสหรือความเสี่ยง?”(Thai Outbound Investment : Opportunities or Risks?) วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน 2555 ณ ห้องวอเตอร์เกทบอลรูม โรงแรม อมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ ส่วนการสัมมนาวิชาการของ สศค. ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักในการเผยแพร่ผลการศึกษาและข้อเสนอแนะแนวนโยบายส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ และได้รับเกียรติจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นผู้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “อนาคตเศรษฐกิจไทยกับนโยบายการลงทุนในต่างประเทศ” ซึ่งได้ย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศ และในสภาวะแวดล้อมเศรษฐกิจปัจจุบันประเทศไทยมีความพร้อม รวมทั้งการก้าวเข้าสู่การรวมตัวของประเทศเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี 2558 หรืออีกสองปีข้างหน้า จึงเหมาะกับการออกไปลงทุนในต่างประเทศ และให้เอกชนเร่งเตรียมตัว ใช้โอกาสนี้ ออกไปสร้างรายได้ ลดต้นทุนการผลิตและเข้าถึงทรัพยากรในอาเซียนมากยิ่งขึ้น สำหรับการดำเนินมาตรการส่งเสริมเรื่องดังกล่าว มีทั้งด้านการเงิน การคลัง การอำนวยความสะดวกทั้งก่อนออกไปลงทุนและหลังจากเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ ล้วนมีความสำคัญ
ในช่วงเช้า 9.50 – 12.00 น การนำเสนองานวิจัยเรื่อง “ทิศทางโลกโอกาสไทยและกลยุทธ์การลงทุนในต่างประเทศ” สรุปได้ดังนี้
นายสุรเชษฐ์ ศศิพงศ์ไพโรจน์ นายณัฐพล สุภาดุลย์ นางสาววาทินี แก้วทับทิม และนางสาวพิมพัชรา กุศลวิทิตกุล สศค. นำเสนอว่า การส่งเสริมจากภาครัฐมีความสำคัญต่อภาคธุรกิจเป็นอย่างมาก จากการสำรวจความเห็นของบริษัทต่างๆ จะเห็นว่า การสนับสนุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะการสนับสนุนด้านข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และการสนับสนุนผ่านมาตรการภาษี มีความสำคัญสำหรับการลงทุนในต่างประเทศ อีกทั้งจากการศึกษาตัวอย่างในต่างประเทศพบว่า รัฐบาลต่าง ๆ ทั้ง จีน เกาหลี ญี่ปุ่น สิงคโปร์และมาเลเซีย ได้มีมาตรการเพื่อส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศกันอย่างครอบคลุม ทั้งในด้านภาษี เงินทุน การอำนวยความสะดวกและข้อมูล ส่งผลให้ภาคธุรกิจของประเทศดังกล่าวสามารถออกไปแสวงหาผลประโยชน์จากตลาดในต่างประเทศอย่างเต็มประสิทธิภาพและทำให้ตัวเลขการลงทุนของประเทศเหล่านั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ทางการไทยสามารถเข้ามามีบทบาทในการส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศเช่นเดียวกัน ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่า (1) ธุรกิจที่มีศักยภาพในการลงทุนในต่างประเทศที่ควรสนับสนุน ได้แก่ ธุรกิจในอุตสาหกรรมการเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม ยาง เครื่องใช้ไฟฟ้า และยานยนต์ (2) ประเทศที่น่าสนับสนุนให้ไปลงทุน ได้แก่ อินเดีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ตุรกี มาเลเซีย จีน เม็กซิโก โปแลนด์ และฮังการี (3) ควรเพิ่มบทบาทรัฐวิสาหกิจในการเป็นผู้นำการลงทุนในต่างประเทศ (4) ควรมีมาตรการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนให้ครอบคลุมการลงทุนในธุรกิจและประเทศเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ทั้งในด้านภาษี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุนในต่างประเทศ และในด้านการสนับสนุนข้อมูล การอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และการสนับสนุนทางการเงิน ทั้งในด้านการจัดหาเงินทุน และการป้องกันความเสี่ยง
ดร.โชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ นโยบายและเศรษฐกิจพลังงาน บมจ.ปตท. ให้ความเห็นว่า การลงทุนในต่างประเทศเป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้ประเทศ ทั้งการใช้โอกาสลดต้นทุนและเข้าหาทรัพยากรในต่างประเทศ อาทิ น้ำมัน เพื่อสร้างความมั่งคงระยะยาวด้านพลังงานให้ไทย และเห็นว่าภาครัฐควรเร่งส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศเพื่อไม่ให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบในการแข่งขันกับผู้ประกอบการต่างประเทศ
ดร.ลัษมณ อรรถาพิช เศรษฐกรอาวุโสประจำประเทศไทย ธนาคารพัฒนาเอเชีย ให้ความเห็นว่าการส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศเป็นเรื่องทันต่อเหตุการณ์ เป็นประโยชน์ต่อทั้งประเทศที่ออกไปลงทุนและประเทศที่รับการลงทุน และจากการศึกษาของ ADB พบว่า ภูมิภาคเอเชียมีการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด และประเทศไทยควรเร่งการออกไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้มากขึ้น ภาครัฐควรเพิ่มบทบาทในการสนับสนุนภาคเอกชนในการออกไปลงทุนในต่างประเทศ
ทั้งนี้ สศค. จะนำผลงานวิจัย ข้อเสนอแนะและข้อวิจารณ์ต่างๆ ไปใช้ในการพัฒนางานและประกอบการออกแบบนโยบายและมาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อ่ไป
|






![]() | Today | 756 |
![]() | All days | 756 |
Comments