วี.เอ็ม.พี.ซี.ชี้ตลาดโรงแรม3 ดาวแชมป์การเติบโตสูงสุด |
Thursday, 25 July 2013 07:48 | |||
วี.เอ็ม.พี.ซี. ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมระดับ 3 ดาวภายใต้แบรนด์ “แอสเทร่า สาทร” เผยภาพรวมตลาดครึ่งปีแรกเติบโตอย่างมาก หลังการเพิ่มขึ้นของกลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระ มั่นใจตลาด ครึ่งปีหลังยังโตต่อเนื่อง ในขณะที่โรงแรมหรูยังเน้นกลยุทธ์ดั๊มพ์ราคาสู้หวังเพิ่มยอด
นายปริญญา เธียรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี.เอ็ม.พี.ซี. จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์ ธุรกิจโรงแรมระดับ 3 ดาวในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ ยังมีอัตรา การเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดครึ่งปีแรก 2556 แม้ภาพรวมจะมีการแข่งขันที่สูงขึ้น ทั้งด้านราคา การบริการ และปริมาณนักท่องเที่ยวที่เข้าพัก ส่งผลให้ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมหลายรายจะต้องหันมาทำตลาดอย่างหนัก เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ ทั้งนี้ หากพิจารณาเชิงลึกจะพบว่าดรรชนีที่บ่งชี้ว่าธุรกิจโรงแรมระดับ 3 ดาว มีการเติบโตขึ้น ได้แก่ การปรับตัวสูงขึ้นของหุ้นในกลุ่มโรงแรม ตลอดจนการที่ Hotel Chain ต่างชาติเซ็นสัญญา รับบริหารโรงแรมมากขึ้น หรือปริมาณการซื้อขายโรงแรมจากนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้น ตลอดปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ ช่วงไตรมาสแรกของปีถือเป็นช่วง High Seasons ของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มนักเที่ยวเอเชีย อินเดีย และรัสเซียที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงนักท่องเที่ยวยุโรปที่ยังคงเติบโตแม้จะมีปัญหาทางเศรษฐกิจก็ตาม โดยทั้งปีนี้ประเมินว่าหุ้นกลุ่มโรงแรมจะมีกำไรอยู่ที่ประมาณ 5.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากปัจจัยสนับสนุนด้านจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10% ในปีนี้ โดยปัจุบันกลุ่ม Hotel Management Chain ที่เป็น Chain ใหญ่จากต่างชาติได้มีการเซ็นสัญญากับผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมใหม่เพิ่มขึ้นมาก โดยคาดว่าภายในปี 2558 จะมี Supply โรงแรมระดับ 3 ดาวเพิ่มขึ้นประมาณ 8,000 หน่วย หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 60% สอดรับกับนโยบาย ผลักดันเศรษฐกิจจากรัฐบาล โดยเฉพาะเรื่องรถไฟไฮสปีดและการเปิดการค้าเสรีอาเซียนหรือ AEC อย่างไรก็ดี ด้วยราคาที่ดินที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ไม่สามารถขยายอุปทานห้องพักระดับ 3 ดาวได้มากกว่าปัจจุบัน จึงทำให้การแข่งขันด้านราคาจะปรับตัวขึ้นได้ไม่มากในระยะกลาง แต่จะสามารถแข่งขันได้ในระยะยาว
“การลงทุนซื้อขายโรงแรมที่คึกคักอย่างมาก ณ ปัจจุบัน เป็นผลมาจากการราคาขายที่อยู่ในระดับที่ไม่สูง จนเกินไป ซึ่งทำให้นักลงทุนที่ซื้อสามารถได้รับผลตอบแทนในอัตราที่น่าพอใจ คือ อยู่ในช่วงระหว่าง 7-9% นอกจากนี้ ยังหวังว่าโรงแรมที่ซื้อจะมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นและมีโอกาสที่จะสร้างรายได้เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากในปี ที่ผ่านมา ตลาดโรงแรมในเมืองท่องเที่ยวหลักๆ ของไทยมีผลประกอบการที่ดี และมีแนวโน้มว่าจะดีต่อไปอีก เนื่องจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยได้ฟื้นตัวขึ้นแล้ว หลังจากที่เคยได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ ทางการเงินโลกและความผันผวนทางการเมือง รายงานโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระบุว่า จำนวนชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นจาก 14.6 ล้านคนในปี 2552 เป็น 19.1 ล้านคนในปี 2554 และเพิ่มขึ้นเป็น 22.3 ล้านคนในปี 2555 หรือเพิ่มขึ้น 23.5% จากปี 2554 พร้อมกับประมาณการว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 24.5 ล้านคนในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้น 23.5% จากปีที่แล้ว อีกหนึ่งประเด็น ที่น่าจับตามองคือ “Real Estate Investment Trusts” หรือกองทุนเพื่อลงทุนในอสังหาฯ ซึ่งกองทุนนี้คาดว่าน่าจะเปิดตัวภายในปีนี้ ซึ่งจะช่วยให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยได้ง่ายขึ้น” นายปริญญา เธียรวร กล่าวแสดงมุมมอง
หากวิเคราะห์ถึงพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดโรงแรมระดับ 3 ดาว พบว่า กลุ่มเป้าหมายของโรงแรมในกลุ่ม ดังกล่าวส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบอิสระ หรือ Free Independent Traveler (FIT) ซึ่งปัจจุบันนักท่องเที่ยวในกลุ่มดังกล่าวมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยพฤติกรรมนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะชอบ วางแผนการท่องเที่ยวด้วยตัวเอง จองโรงแรม รวมถึงบริการด้านอื่นด้วยตัวเองผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งนักท่องเที่ยว กลุ่มนี้เกือบทั้งหมดจะจัดอยู่ในกลุ่มซื้อซ้ำ คือเคยพักในโรงแรมนั้นๆ แล้ว และพึงพอใจกับทำเลหรือการบริการ โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะไม่เน้นห้องพักหรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน แต่จะเน้นหลักอยู่ที่ 4 ประเด็นคือ สะอาด ปลอดภัย สะดวกในการเดินทางไปยังจุดหมายที่ต้องการ และประหยัดงบ ซึ่งโรงแรมระดับ 3 ดาว สามารถตอบโจทย์ดังกล่าวให้กับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ดีกว่า และยังพบว่านักท่องเที่ยวในกลุ่มนี้ยังมีระยะเวลา พักที่นานกว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวประเภทอื่นเฉลี่ยถึง 1.5 วัน จากเหตุผลดังกล่าว โรงแรมระดับ 3 ดาว แบบราคาประหยัดที่ลูกค้าชำระค่าบริการตามอุปกรณ์หรือสินค้าที่ใช้จริงจึงเกิดขึ้น เพื่อเสนอเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ให้กับลูกค้า และสร้างจุดแข็งของโรงแรมระดับ 3 ดาว ในการแข่งขันกับโรงแรมระดับ 4 หรือ 5 ดาวในช่วง Low Seasons ที่มักจะลดราคาลงมาเกือบเท่ากันเพื่อดึงลูกค้า และหากเข้าสู่ AEC เชื่อว่าจะเกิดการเดินทางแบบ Business Trip มากขึ้น ซึ่งลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวจะเป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญด้านราคาอย่างมาก จะยิ่งทำให้เกิด การแข่งขันที่รุนแรงเพิ่มมากขึ้น
“ผมมองว่าการตลาดสำหรับการท่องเที่ยวที่ดีที่สุดคือการตลาดแบบปากต่อปาก เพราะนอกจากจะประหยัดแล้ว ยังถูกกลุ่มเป้าหมาย และได้รับการเชื่อถือจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการแชร์ประสบการณ์จริง ให้แก่กัน โดยเฉพาะกระแสจากภาพยนตร์ เห็นได้จากปีที่ผ่านมา กระแสหนัง Lost In Thailand ที่ถ่ายทำโดยกองถ่ายประเทศจีน และใช้สถานที่ใน จ.เชียงใหม่ ได้ปลุกกระแสการท่องเที่ยวของชาวจีนให้มาเที่ยว เชียงใหม่ จนยอดเข้าพักเต็มถึง 100% จากกรณีดังกล่าวกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พยายามผลักดัน กฏหมายคืนเงินภาษีให้กับกองถ่ายต่างชาติที่เข้ามาถ่ายทำภาพยนต์ในประเทศไทย เช่นเดียวกับที่นิวซีแลนด์ ได้ทำสำเร็จแล้ว และสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวอย่างมหาศาลจากภาพยนต์ Hollywood เรื่อง Lord of The Ring” นายปริญญา เธียรวรกล่าวสรุป
|
Today | 558 | |
All days | 558 |
Comments