‘นิด้า’คาดเศรษฐกิจไตรมาส4ขยายตัว4.9%หุ้นทะลุ1,500จุด |
Thursday, 26 September 2013 19:34 | |||
‘นิด้า’ เปิดโครงการ NIDA’s Thailand Roadmap Series ประเดิมครั้งแรกด้วยการชี้ทิศเศรษฐกิจ-การเมืองไทย ไตรมาสที่ 4 คาดเศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายโต 4.9% ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3 ที่ชะลอตัวมากกว่าที่คาดการณ์ ทำให้ต้องปรับลดประมาณการเติบโตปี 56 จากที่คาดว่าจะโต 4.3% ลงเหลือ 3.7% ฟันธงดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวที่ 2.5% ส่วนตลาดทุนไทย เฝ้ารอความชัดเจนจากนโยบายลงทุน 2 ล้านล้านบาท และโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ชี้ราคาหุ้นไทยยังต่ำสุดในกลุ่ม TIP มีโอกาสที่ดัชนีจะทะลุ 1,500 จุด แนะนักลงทุนกระจายลงทุนสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยการเมืองและเศรษฐกิจโลก
รศ.ดร.ประดิษฐ์ วรรณรัตน์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยว่า นิด้าได้เปิดตัวโครงการ NIDA’s Thailand Roadmap Series เป็นโครงการที่นิด้าต้องการทำอย่างต่อเนื่องเพื่อนำเสนอข้อมูลทางด้านวิชาการ หรือมุมมองการวิเคราะห์จากนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิของนิด้า โดยจะนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่ในกระแสความสนใจของสังคม ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ที่มีการกลั่นกรอง วิเคราะห์ วิจัย บนพื้นฐานทางวิชาการ อันแสดงให้เห็นถึงบทบาทด้านวิชาการของนิด้า ที่สามารถเป็นเสาหลักในศาสตร์ด้านบริหาร และสามารถเป็นที่พึ่งของสังคมในด้านขององค์ความรู้ด้านต่างๆ ได้
สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกภายใต้โครงการดังกล่าว โดยนักวิชาการนิด้า ได้นำเสนอบทวิเคราะห์เชิงวิชาการที่มีต่อทิศทางเศรษฐกิจ การเมือง และตลาดทุนไทย ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 ซึ่งหวังว่าข้อมูลเชิงวิชาการที่ถูกนำเสนอจากนักวิชาการของนิด้าในครั้งนี้ จะจุดประกายให้สังคมได้รับทราบถึงปัญหา ความเสี่ยง และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ตลอดจนแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยปัญญา เพื่อนำพาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืน
ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ณดา จันทร์สม คณบดี คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า กล่าวว่า จากการประเมินตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคโดย NIDA Macro Forecast คาดว่าในไตรมาส 4 ปีนี้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งคาดว่าจะขยายตัว 4.9% สูงกว่าช่วงไตรมาส 3 ที่คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวเพียง 1.8% ทั้งนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4 มีปัจจัยจากการฟื้นตัวของการส่งออกของไทยที่มีสัญญาณดีขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดว่าตัวเลขรายได้การส่งออกในรูปสกุลเงินดอลลาร์ ของปี 2556 จะขยายตัวเพียง 1% เท่านั้น เนื่องจาก ภาคการส่งออกที่ไม่ดีนักในช่วง 2 ไตรมาสแรกต่อเนื่องมากถึงไตรมาสที่ 3
ทั้งนี้ ภาพรวมเศรษฐกิจทั้งปี 2556 คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตแบบชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา นิด้าได้ประมาณการตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัว 4.3% แต่เนื่องจากเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ชะลอตัว จึงได้ปรับลดประมาณการลง โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2556 จะเติบโตได้ 3.7%
ในด้านของอัตราเงินเฟ้อช่วงเดือน กันยายน – ธันวาคม 2556 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากช่วงเดือน มิถุนายน – สิงหาคม 2556 โดยมีปัจจัยจากการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานและค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลง โดยคาดว่าเฉลี่ยทั้งปี อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ระดับ 2.5% ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายการเงิน คาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 2.5% โดยมีโอกาสเพียงเล็กน้อยที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลง หากเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ไม่กระเตื้องขึ้นอย่างที่คาดการณ์
ด้านมุมมองตลาดทุนไทยในไตรมาส 4 ปีนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.กำพล ปัญญาโกเมศ รองอธิการบดี ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ นิด้า กล่าวว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของไทยในขณะนี้ มีทั้งปัจจัยภายในประเทศ ได้แก่ ความชัดเจนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท และโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ว่ารัฐบาลจะสามารถผลักดันให้เกิดการลงทุนได้เมื่อใด รวมถึงประเด็นการเมืองที่นักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์การพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม วาระ 2-3 การแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 และการตัดสินประเด็นเขาพระวิหารต่อศาลโลก ส่วนปัจจัยจากต่างประเทศนั้น ยังต้องจับตาธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ถึงความชัดเจนในการดำเนินนโยบาย QE รวมถึงตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน ซึ่งมีผลต่อบรรยากาศการลงทุนและความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยในตลาดหุ้นอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ของตลาดหุ้นไทยกับประเทศในกลุ่ม TIP (ไทย/อินโดนีเซีย/ฟิลิปปินส์) พบว่า ราคาหุ้นของไทยมีราคาไม่แพง และยังมีโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้ เนื่องจาก P/E ของไทยอยู่ที่ 16.31 เท่า ต่ำกว่าอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่อยู่ในระดับ 18.92 และ 18.88 ตามลำดับ และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมาตรฐานที่อยู่ในระดับ 18.01 โดยจากการทำแบบจำลอง Simulation เพื่อแสดงค่าเฉลี่ยดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ สิ้นปี 2556 จะอยู่ที่ระดับ 1,513 จุด จึงมีโอกาสที่หุ้นไทยจะปรับตัวสูงขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม จากการทำโครงการร่วมกับ บลจ.ฟินันซ่า ถึงรูปแบบการลงทุนในไตรมาส 4 พบว่า นักลงทุนควรกระจายพอร์ตการลงทุนเพื่อบริหารความเสี่ยง โดยแบ่งสัดส่วนลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 27.74% พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น 30.66% หุ้นกู้ 27.67% ทอง 5.88% และคอมมอดิตี้ 8.64%
|
Today | 1638 | |
All days | 1638 |
Comments