| ตาดี ตาร้าย..โดย..นายคิดดี |
|
|
|
| Tuesday, 13 October 2009 12:55 | |
|
ตาดี ตาร้าย..โดย..นายคิดดี
หลังจากที่ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ออสเตรเลีย เป็นประเทศแรกในกลุ่ม จี-20 ที่ขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย สู่ระดับ 3.25% หลังจากที่ลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.0% ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางวิกฤติการเงินโลก โดยธนาคารกลางออสเตรเลีย ระบุถึงเหตุผลในการปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวว่า ว่าเศรษฐกิจได้ผ่านพ้นอันตรายที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว ส่วนธนาคารกลางยุโรป แม้จะยังไม่ได้ขยับขึ้นดอกเบี้ย พร้อมที่มีการออกโรงเตือนผู้ที่เกี่ยวข้องว่า ยังไม่ควรคาดหวังถึงการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของ เศรษฐกิจในยูโรโซน แต่ก็ไม่ได้มีการปรับลดดอกเบี้ยลงอีก โดยตรึงอัตราดอกเบี้ยที่สถิติต่ำสุดไว้ที่ 1.0 % เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ในการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ไฮไลท์ของนโยบายการเงินโลก ถูกโยกกลับไปอยู่ในมือของสหรัฐอีกครั้ง ในช่วงปลายสัปดาห์ จากการที่ นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกมากล่าวเตือนในทำนองว่า แม้เฟดจำเป็นต้องดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่คงไม่สามารถดำเนินการอย่างนี้ได้ตลอดไป เพราะอาจกระตุ้นให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้น ตีความกันง่ายๆว่า เฟดออกมาส่งสัญญาณถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบียอีกครั้ง หลังจากที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงใกล้ระดับ 0 % ในช่วงที่ผ่านมา และอัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่ระบบ เพื่อรับมือกับวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้น หันมาดูในบ้านเรา แม้ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะออกมาแทงกั๊กไว้เล็กๆ ด้วยการระบุว่า จะดูแลอัตราดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งการปรับขึ้นและลง แต่ถ้าดูจากเศรษฐกิจที่ค่อยคลานขึ้นเขา และเงินเฟ้อที่ติดลบน้อยลงเรื่อยๆ น่าจะเป็นเหตุผลให้แบงก์ชาติไม่ปรับลดดอกเบี้ยลงอีก คำถามคือ แล้วจะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยเมื่อไหร่ คำตอบในเรื่องนี้ ยังคงไม่ชัดเจนนักในตอนนี้ แต่โดยรวมๆ ก็มองกันว่า จะให้กลับมาขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว อย่าได้ไปหวัง เพราะเศรษฐกิจบ้างเราไม่ได้กลับมาดูมีสง่าราศีเหมือนอย่างออสซี่เขา แถมที่ฟื้นขึ้นมาได้ ก็ไม่รู้จะฟุ๊บกลับลงไปอีกหรือเปล่า โหรแท้โหรเทียม ก็เลยสรุปค่อนข้างตรงกันว่า การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย น่าจะไปเห็นเอาในช่วงกลางปีหน้ามากกว่า เพื่อรอดูตัวเลขอีกสัก 2-3 ไตรมาส ให้ช่วยยืนยันว่า กลับมาอยู่ในลู่วิ่งที่ถูกต้องก่อน ยกเว้นว่าราคาน้ำมัน หรือราคาสินค้าต่างๆ มีปัจจัยอะไรมาผลักดันให้ถีบตัวขึ้นมา จนไปดันให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเกินคาด อันนี้ก็คงต้องมานั่งล้อมวงดูกันอีกที เมื่อรูปการณ์ออกมาเป็นประมาณนี้ ในฝั่งของนักลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ ดูจะคิดหนักอยู่พอสมควร เพราะจะซื้อตราสารหนี้ระยะยาวก็ไม่กล้า เนื่องจากถ้าดอกเบี้ยดีดขึ้นมาไว ที่ล็อกยาวๆเอาไว้ แม้ปีแรกๆอาจจะได้ดอกเบี้ยสูง แต่ก็จะไปเสียโอกาสในปีท้ายๆ ก็เป็นได้ แต่ถ้าจะให้มีอยู่ในตราสารหนี้สั้นๆ ไมว่าจะเป็นตั๋วเงินคลัง, บอนด์แบงก์ชาติ หรือ บีอีเอกชน แม้จะถูกปลอบใจว่า ยังไงก็ยังดีกว่าฝากเงิน แต่ถ้าดูในมุมของผลตอบแทนจริงๆ ต้องยอมรับว่าไม่พอยาไส้ สักเท่าไหร่ ทางออกที่ได้ยินจากปากของผู้จัดการกองทุนหลายรายในตอนนี้ จึงแนะนำให้ไปอยู่ในหุ้นกู้เอกชนกันไว้มากหน่อย เลือกที่แบรนด์ดี มีส่วนต่างจากพันธบัตรรัฐบาลในระดับที่รับได้ แล้วที่สำคัญคือ เอาอายุสัก 2-3 ปี น่าจะพอเหมาะ เพราะดูยังไงแล้ว 2-3 ปีนี้ แม้ดอกเบี้ยจะขยับขึ้น ก็คงไม่มาก ส่วนต่างที่หุ้นกู้ให้อยู่ตอนนี้ น่าจะมีน้ำมีเนื้อ และรองรับกับการกระเถิบของดอกเบี้ย ภายในช่วงอายุของหุ้นกู้ได้ อันนี้ก็ว่ากันตามชอบใจ แต่ถ้าใครจะยึดเอาหุ้นกู้เป็นสรณะ จริงๆ ก็ขอให้เปิดตากว้าง มองดูให้ลึกถึงความเป็นไปในธุรกิจของผู้ออก ว่าจะอยู่ยงคงกระพันได้จริง เหมือนคำโฆษณาหรือไม่ รวมทั้ง ต้องพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของการระดมทุนด้วย ถ้าเอาไปใช้ขยายธุรกิจ อย่างนี้ถือว่าโอเค เป็นการกู้เพื่อการเติบโต แต่ถ้าเอาเงินใหม่ไปใช้คืนเงินเก่า หรือเอาเงินใหม่ ไปลงทุนขยายกิจการก็จริง แต่เป็นกิจการที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพื้นฐานเดิมที่มีอยู่เลย ก็น่าจะเอะใจไว้หน่อย เผื่อผิดพลาดคลาดเคลื่อนอะไรขึ้นมา จะได้ไม่ต้องถูกตอกย้ำจากเหตุผลสั้นๆว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” นายคิดดี This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it
|






![]() | Today | 991 |
![]() | All days | 991 |
Comments