Forgot your password? Create an account
  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
News

Stockwave Online กระแสหุ้นออนไลน์ หุ้น หลักทรัพย์ การเงิน ข่าวเศรษฐกิจ

Home Economic View มาตรการ 7.5 แสนล้านยู โร จบภาคแรกแต่ยังมีภาคต่อ By SCB Economic Intelligence Center (EIC)
มาตรการ 7.5 แสนล้านยู โร จบภาคแรกแต่ยังมีภาคต่อ By SCB Economic Intelligence Center (EIC) PDF Print E-mail
Thursday, 13 May 2010 07:28

สหภาพ ยุโรปได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินอีก 7.5 แสนล้านยูโร (หรือ 1 ล้านล้านดอลลาร์) เพื่อพยายามสกัดวิกฤติหนี้กรีซไม่ให้ลุกลามออกไป นอกจากนี้ ที่สำคัญคือธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้เริ่มเข้าซื้อตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนจากตลาดการเงิน เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องของตราสารหนี้ของประเทศสมาชิกที่กำลังประสบ ปัญหา

***มาตรการ 7.5 แสนล้านยูโร แบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน ส่วนแรก 6 หมื่นล้านยูโร เป็นมาตรการเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้วโดย European Commission จะเป็นผู้ออกตราสารหนี้ (ค้ำประกันโดยสมาชิก 27 ประเทศ) มาให้ประเทศที่มีปัญหาทางการเงินกู้ต่อในอัตรา ดอกเบี้ยที่ถูกกว่าการที่จะให้ประเทศดังกล่าวไปกู้เอง ส่วนที่สอง 4.4 แสนล้านยูโร เป็นส่วนเพิ่มเติมจากส่วนแรก โดยจะมาจากการจัดตั้งกองทุนเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ (special purpose vehicle) ที่จะมีอายุ 3 ปี และค้ำประกันโดยประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ส่วนที่สาม 2.5 แสนล้านยูโร จะมาจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งนับเป็นการให้ความช่วยเหลือที่มีขนาดใหญ่ มากของ IMF เมื่อเทียบกับยอดความช่วยเหลือของ IMF รวมทั่วโลกเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่เพียง 1.9 แสนล้านดอลลาร์เท่านั้น

***7.5 แสนล้านยูโรเพียงพอสำหรับการ แก้ปัญหาสภาพคล่อง มีการประมาณว่าหนี้สินที่ครบกำหนดชำระในช่วง 3 ปีข้างหน้าของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปที่มี เศรษฐกิจขนาดเล็ก อย่างโปรตุเกส ไอร์แลนด์ กรีซ และสเปน (PIGS) น่าจะอยู่ที่ราวๆ 5 แสนล้านยูโร ดังนั้นยอดรวมมาตรการความช่วยเหลือดังกล่าวน่าจะทำให้พออุ่นใจได้ว่า ประเทศดังกล่าวจะหายืมเงินจากมาตรการนี้มาใช้คืนแก่เจ้าหนี้ปัจจุบันได้

***แต่ไม่แก้ปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัวให้หมดไป เพราะการกู้เงินจากกองทุนให้ความช่วยเหลือดัง กล่าวเพื่อมาใช้หนี้นั้น ไม่ได้เป็นการปลดหนี้ให้หมดไป เปรียบเหมือนกับบริษัทที่มีหนี้สินมากจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ การยืมเงินมาชำระหนี้แบบนี้จึงเป็นเหมือนการซื้อเวลาให้ไม่ต้องผิด นัดชำระหนี้ (default) ไประยะหนึ่งเท่านั้น แต่ตัวหนี้สินทั้งหมดยังคงอยู่อย่างครบถ้วน มาตรการนี้จึงเหมือนเป็นการช่วยเหลือภาคการธนาคารในยุโรป เพราะหากปล่อยให้รัฐบาลของกลุ่มประเทศ PIGS ผิดนัดชำระหนี้ตอนนี้ จะเกิดผลเสียหายต่อเจ้าหนี้ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือธนาคารในกลุ่มประเทศยุโรปนั่น เอง ตัวอย่างเช่นจากยอดหนี้กรีซ 2.2 แสนล้านยูโร มาจากธนาคารในยุโรปถึง 1.9 แสนล้านยูโร ซึ่งในที่นี้เป็นธนาคารในเยอรมนีถึง 7.9 หมื่นล้านยูโรและฝรั่งเศสอีกราว 4.5 หมื่นล้านยูโร ดังนั้น มาตรการดังกล่าวจึงเป็นเพียงจุดจบของปัญหาในภาคแรกเท่านั้นและยังมีภาคต่อ ให้ต้องติดตามต่อไป

***นอกจากนี้ ยังมีปัญหาด้านการนำไปปฏิบัติอย่างน้อยอีก 2 เรื่อง (1) มาตรการดังกล่าวโดยเฉพาะส่วน 4.4 แสนล้านยูโร ต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาในหลายประเทศสมาชิก เนื่องจากการลงขันจัดตั้งกองทุนหรือการค้ำประกันหนี้ของกองทุนย่อม หมายถึงภาระหนี้สินสำหรับรัฐบาลประเทศที่เข้าไปค้ำประกัน การขออนุมัติจากรัฐสภาในประเทศต่างๆ จึงไม่น่าจะเร็วนัก เลยทำให้ ECB ต้องออกมาให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นด้วยการ รับซื้อตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชนดังกล่าว (2) มีโอกาสสูงที่รัฐบาลจะทำตามแผนที่วางเอาไว้ ไม่ได้ มาตรการช่วยเหลือดังกล่าวเป็นแบบชั่วคราวและมีสมมติฐานว่าในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ผู้รับความช่วยเหลือต้องสามารถเข้าไปกู้ในตลาดได้โดยตรงด้วยตัวเอง ซึ่งแปลว่าประเทศเหล่านี้ต้องแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลสามารถลดการขาดดุลการคลัง ลงได้ตามเป้าหมายที่ประกาศไว้ เช่น กรีซต้องลดการขาดดุลการคลังลงรวมกันถึง 11% ของ GDP ในระยะเวลา 4 ปีข้างหน้า แต่ว่าการรัดเข็มขัดก็อาจทำให้เศรษฐกิจหดตัวแรงกว่าที่คิด หากเทียบกับครั้งวิกฤติต้มยำกุ้ง IMF เคยประมาณไว้ว่าเมื่อรัดเข็มขัดแล้วเศรษฐกิจไทย จะติดลบราว 3% แต่เอาเข้าจริง GDP ติดลบไปกว่า 10% ดังนั้น GDP กรีซที่คาดว่าจะหดตัว 4% ในปีนี้ และอีก 2.6% ในปีหน้าจึงมีโอกาสที่จะออกมาแย่กว่าที่ประมาณ การไว้ ซึ่งจะทำให้รายได้ภาษีของรัฐไม่เป็นไปตามเป้า ส่งผลเสียต่อความพยายามในการลดการขาดดุลการคลัง

***ในที่สุดคงต้องมีการปรับโครงสร้างหนี้ เนื่องจากขนาดของหนี้สินที่สูงมาก ประกอบกับความเสี่ยงในการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้รวมถึงการหดตัวของ GDP ดังกล่าว ทำให้การลดหนี้สินที่ล้นพ้นตัวอาจต้องมาจากการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจะหลีกเลี่ยงได้ยาก

เรื่องยังไม่จบ ตลาดการเงินยังคงมีความผันผวน มีโอกาสที่จะมีข่าวร้ายออกมาอีก เช่นการปรับโครงสร้างหนี้ และการไม่สามารถปฏิบัติตามแผนลดการขาดดุลการคลังที่วางไว้ได้ เห็นได้จากการที่ credit default swap (CDS) spread ซึ่งบ่งบอกถึงมุมมองของตลาดต่อความเสี่ยงของตราสารหนี้ประเทศ ต่างๆ (ยิ่งสูงแปลว่ายิ่งมองว่าเสี่ยง) ซึ่ง CDS กรีซแม้จะลดลงมาจากจุดสูงสุดที่กว่า 900 basis points (bps) เหลือราว 600 bps แต่ก็ยังนับว่าสูงอยู่มากเมื่อเทียบกับราว 300 bps เมื่อเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ทั้งนี้ผลกระทบจากกรณีดังกล่าวยังทำให้ ความต้องการของนักลงทุนที่จะรับความเสี่ยง (risk appetite) ลดลงด้วย โดยมีการลดการลงทุนในสินทรัพย์ยูโร และรวมถึง commodities อย่างน้ำมัน ไปลงทุนในสิ่งที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าอย่างเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ส่วนราคาน้ำมันก็ลดลงแต่ผลกระทบต่อไทยน่าจะไม่มาก...

1) ผลกระทบจากตลาดการเงิน ไทยมีหนี้สินต่างประเทศไม่มาก คือราว 7.3 หมื่นล้านดอลลาร์ (เทียบกับทุนสำรองระหว่างประเทศที่ 1.4 แสนล้านดอลลาร์) และตลาดเองก็สามารถแยกแยะได้ ทำให้ต้นทุนการกู้เงินต่างประเทศของไทยก็ไม่เพิ่มขึ้นเท่าไร โดย CDS ของไทยเพิ่มจากราว 100 basis points (bps) ในเดือน มี.ค. มาเป็น 115 bps เท่านั้น

2) ผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออก ของไทย แม้มูลค่าการส่งออกของไทยไปยังสหภาพยุโรปคิด เป็น 12% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย แต่การส่งออกไปยังกรีซ โปรตุเกส สเปน และไอร์แลนด์มีมูลค่ารวมกันเพียง 1% ของการส่งออกของไทยเท่านั้น ผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทยจึงไม่มาก สำหรับสินค้าหลักของไทยที่ส่งออกไปยัง 4 ประเทศดังกล่าวได้แก่ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เสื้อผ้า เครื่องปรับอากาศและชิ้นส่วน ยางและผลิตภัณฑ์จากยาง และรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์

Written by :
พิราบขาว
 

Comments

B
i
u
Quote
Code
List
List item
URL
Name *
Code   
ChronoComments by Joomla Professional Solutions
Submit Comment
 
 

Login

Forgot your password? Create an account
mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterToday1170
mod_vvisit_counterAll days1170

We have: 1169 guests online
Your IP: 18.224.30.203
Mozilla 5.0, 
Today: Feb 06, 2025

4136032