Forgot your password? Create an account
  • Increase font size
  • Default font size
  • Decrease font size
News

Stockwave Online กระแสหุ้นออนไลน์ หุ้น หลักทรัพย์ การเงิน ข่าวเศรษฐกิจ

Home Economic View พันธบัตร ออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ... ผลต่อสภาพคล่องและ ดอกเบี้ยแบงก์ BY ศูนย์วิจัยเคแบงก์
พันธบัตร ออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ... ผลต่อสภาพคล่องและ ดอกเบี้ยแบงก์ BY ศูนย์วิจัยเคแบงก์ PDF Print E-mail
Wednesday, 09 June 2010 15:59

พันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ... ผลต่อสภาพคล่องและดอกเบี้ยแบงก์

ในช่วงระหว่างวันที่ 7-11 มิถุนายน 2553 กระทรวงการคลังมีกำหนดจะเสนอขายพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ล็อตที่สอง (ล็อตแรกของปีนี้) ในวงเงิน 1 แสนล้านบาท อายุ 6 ปี โดยจ่ายอัตราดอกเบี้ยแบบขั้นบันไดสูงสุดที่ร้อยละ 6 ในปีที่ 6 หรือให้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 4.17 ต่อปี (อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.54 ต่อปีหลังหักภาษี) ซึ่งนับว่าเป็นระดับผลตอบแทนที่ค่อนข้างจูงใจผู้ออม โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุเดียวกันที่อยู่ที่ร้อยละ 3.15 (8 มิ..) และอัตราผลตอบแทนของผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษส่วนใหญ่ของธนาคารพาณิชย์ที่ยังมีระดับไม่สูงนักสอดคล้องกับระยะเวลาการออมที่สั้นกว่า

เปรียบเทียบพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง

ล็อตแรก (กรกฎาคม 2552) กับล็อตที่สอง (มิถุนายน 2553)


พันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง

ปี 2552

พันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง

ปี 2553

อัตราดอกเบี้ย (คูปอง)

ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.0 ต่อปี

ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.0 ต่อปี

ปีที่ 4-5 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.0 ต่อปี

ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.0 ต่อปี

ปีที่ 3-4 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.0 ต่อปี

ปีที่ 5 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.0 ต่อปี

ปีที่ 6 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 6.0 ต่อปี

อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (ร้อยละ)

4.00

4.17

อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี (หลังหักภาษี) (ร้อยละ)

3.40

3.54

อายุ

5 ปี

6 ปี

วงเงินรวม

80,000 ล้านบาท

100,000 ล้านบาท

ที่มา: กระทรวงการคลัง รวบรวมโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย


ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีมุมมองเกี่ยวกับประเด็นการออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งของกระทรวงการคลัง รวมถึงผลกระทบต่อสภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ยของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ดังต่อไปนี้

  • การออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งของกระทรวงการคลังอาจกระทบสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยเพียงชั่วคราว ผ่านการถอนเงินฝากของลูกค้าไปจองซื้อพันธบัตร ขณะที่สภาพคล่องในภาพรวมอาจมีแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากเงินส่วนหนึ่งที่รัฐบาลได้รับจากการออกพันธบัตร จะถูกนำไปจ่ายคืนเงินกู้ธนาคารพาณิชย์ หรือเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์การแปลงหนี้ระยะสั้นเป็นหนี้ระยะยาว (Refinance) สำหรับการเบิกจ่ายเงินภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งในระยะที่ผ่านมาของรัฐบาล ดังนั้น โดยสุทธิแล้ว สภาพคล่องที่ถูกดึงออกไปในขาแรกผ่านการลดลงของเงินฝาก จึงน่าจะมีแนวโน้มทยอยไหลกลับสู่ระบบธนาคารพาณิชย์อีกครั้งผ่านการชำระคืนเงินกู้ของรัฐบาล ส่งผลให้สภาพคล่องในภาพรวมจึงอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนักเมื่อเวลาผ่านไป

นอกจากนี้ สภาพคล่องในงบดุลของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังคงอยู่ในระดับสูง เห็นได้จากข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นเดือนเมษายน 2553 สินทรัพย์สภาพคล่อง (รวมเงินสด เงินลงทุนสุทธิในตลาดเงินระยะสั้น และเงินลงทุนสุทธิในหลักทรัพย์)1 ของ 14 ธนาคารพาณิชย์ไทย2 มีจำนวนสูงถึง 2.18 ล้านล้านบาท โดยแม้ว่าในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2553 เงินให้สินเชื่อจะสามารถเติบโตในเกณฑ์ที่ดี ตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว ธนาคารพาณิชย์ก็มีการบริหารสภาพคล่องด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษที่ให้ผลตอบแทนจูงใจออกมาเป็นระยะๆ เพื่อรองรับการขยายตัวของสินเชื่อ ตลอดจนเพื่อรักษาความสามารถทางการแข่งขันทั้งกับธนาคารพาณิชย์ด้วยกันเองและกับทางเลือกการออมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวม หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต เป็นต้น ขณะที่ เมื่อมองไปในระยะข้างหน้า ธนาคารพาณิชย์ก็ยังอาจจะมีการออกผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษที่ให้ผลตอบแทนจูงใจเพิ่มเติมอีก





ภาพการดำเนินธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ดังกล่าว ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ในท้ายที่สุดแล้ว การออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งของกระทรวงการคลังในครั้งนี้ คงมีผลกระทบในขอบเขตที่ค่อนข้างจำกัดต่อฐานะสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ ซึ่งก็น่าที่จะเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับที่เคยเกิดขึ้นในช่วงของการออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งล็อตแรกของกระทรวงการคลัง รวมถึงพันธบัตรออมทรัพย์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ที่ผ่านมา ที่เงินฝากของธนาคารพาณิชย์สามารถกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ด้วยระยะเวลาที่ไม่นานหลังจากการออกพันธบัตรทั้งสองดังกล่าว


  • แนวโน้มสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในระยะที่เหลือของปี 2553 ยังคงขึ้นอยู่กับการดำเนินธุรกิจหลักหรือการขยายสินเชื่อใหม่ ซึ่งมีความเชื่อมโยงอย่างมากกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงมีมุมมองเชิงบวกที่ระมัดระวังต่อเส้นทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ตลอดจนแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังจากที่ความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลงในไตรมาส 2/2553 (สินเชื่อเริ่มเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงในเดือนเมษายน 2553 เทียบกับที่ขยายตัวแข็งแกร่งในไตรมาส 1/2553) จากผลกระทบของเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่เคยถูกตั้งความหวังว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับการเติบโตของสินเชื่อภาคธุรกิจในปีนี้ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจดังกล่าว โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นไปเพื่อการขยายกิจการหรือการลงทุน รวมทั้งสินเชื่อผู้บริโภคบางประเภท อาจยังคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งกว่าจะฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับที่เคยทำได้ในช่วงไตรมาส 1/2553 ขณะที่ความต้องการสินเชื่อในช่วงระยะใกล้นี้ น่าจะเน้นไปเพื่อการใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนระยะสั้น สำหรับรองรับกิจกรรมขั้นพื้นฐานทางธุรกิจ ตลอดจนสำหรับการฟื้นฟูและเยียวยาผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมืองเป็นสำคัญ

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ทางการเมืองทยอยคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นตามลำดับ โดยที่ภาคส่วนต่างๆ สามารถเร่งดำเนินมาตรการและความช่วยเหลือในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและเยียวยาผลกระทบต่อภาคธุรกิจและครัวเรือนให้ฟื้นคืนกลับมาได้เร็ว รวมไปถึงความเสี่ยงจากเศรษฐกิจต่างประเทศต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้อยู่ในขอบเขตที่จำกัด ก็มีโอกาสที่การขยายสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์จะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ด้วยจังหวะที่เร็วขึ้นกว่าที่เคยไว้เดิม ซึ่งย่อมจะมีส่วนในการช่วยระบายสภาพคล่องออกจากระบบธนาคารพาณิชย์ไทยได้บางส่วนหลังจากนี้


ความสามารถในการขยายสินเชื่อใหม่ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของทางการ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ปัจจัยสำคัญที่จะมีอิทธิพลต่อการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ นอกจากจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการขยายสินเชื่อในระยะถัดไป ก็คงจะอยู่ที่การดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยของ ธปท.อีกด้วย

ทั้งนี้ ในระยะหลัง ธปท.ส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นว่าอาจจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ระดับที่เป็นปกติมากขึ้น จากระดับผ่อนคลายอย่างมากในปัจจุบันที่ร้อยละ 1.25 ถ้าความเสี่ยงทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศอยู่ภายใต้ขอบเขตที่ยอมรับได้ เนื่องจาก ธปท.มองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็ง และการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสแรก น่าจะเป็นแรงส่งสำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยต่อไปในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งภายใต้แนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสจะถูกปรับขึ้นในช่วงไตรมาส 3/2553 เป็นอย่างเร็วนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ก็น่าที่จะมีแนวโน้มอยู่ในจังหวะขาขึ้นเช่นเดียวกัน แม้ขนาดและจังหวะการปรับขึ้นของธนาคารพาณิชย์อาจจะยังต้องขึ้นอยู่กับกลไกการส่งผ่านนโยบาย ภาวะการแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์ด้วยกันเอง รวมถึงการแข่งขันกับช่องทางการลงทุนอื่นๆ ก็ตาม


  • ผลิตภัณท์การออมที่มีระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนใกล้เคียงกับพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ซึ่งผู้ออมสามารถเลือกลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยง ผลตอบแทน และสภาพคล่องที่เหมาะสมและเป็นที่ยอมรับได้ของแต่ละบุคคล มีรายละเอียดโดยสังเขป ดังนี้

ผลิตภัณฑ์การออม

ระยะเวลา

ผลตอบแทนเฉลี่ยที่คาดว่าจะได้รับ (ร้อยละต่อปี)

เงินฝากพิเศษ

4-37 เดือน

1.40-2.58

ตั๋วแลกเงิน

4-48 เดือน

1.40-3.50

หุ้นกู้เอกชน

อันดับเครดิต AA-

อันดับเครดิต A+

อันดับเครดิต BBB+

อันดับเครดิต BBB


10 ปี

10 ปี

7 ปี

3 ปี


4.50

4.93

5.70

6.00-6.50

กองทุนรวม

พันธบัตรเกาหลีใต้

ตราสารหนี้ภาครัฐ

หุ้นกู้เอกชนในประเทศ


1-24 เดือน

3-6 เดือน

ประมาณ 7 ปี


0.85-2.60

1.00-1.10

3.90

ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

ดยสรุป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็งของกระทรวงการคลัง วงเงิน 1 แสนล้านบาท ในระหว่างวันที่ 7-11 มิถุนายน 2553 น่าจะส่งผลให้ปริมาณสภาพคล่องลดลงเพียงในระยะสั้น เนื่องจากรัฐบาลคงจะนำปริมาณเงินที่ระดมได้ไปชำระคืนเงินกู้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการกู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์ อันจะทำให้ปริมาณสภาพคล่องไหลกลับคืนสู่ระบบอีกครั้ง ขณะที่คาดว่าธนาคารพาณิชย์คงจะทยอยนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากพิเศษ หรือโครงการส่งเสริมการขายพิเศษ เพื่อดึงเงินฝากและสภาพคล่องกลับมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่การปล่อยสินเชื่อยังคงมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง ภายใต้สมมติฐานที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจค่อยๆ ปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า คงจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการขยายสินเชื่อใหม่ของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ซึ่งล่าสุด ธปท.ก็ได้ส่งสัญญาณว่าอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าว ถ้าความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะด้านการเมืองในประเทศและปัญหาเศรษฐกิจยุโรป คลายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่เข้มแข็งในไตรมาสแรกของปี น่าจะสามารถสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อไปได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ทั้งนี้ ภายใต้แนวโน้มที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสจะถูกปรับขึ้นในช่วงไตรมาส 3/2553 เป็นอย่างเร็วนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ก็น่าที่จะมีแนวโน้มอยู่ในจังหวะขาขึ้นเช่นเดียวกัน แม้ขนาดและจังหวะการปรับขึ้นของธนาคารพาณิชย์อาจจะยังต้องขึ้นอยู่กับกลไกการส่งผ่านนโยบาย ภาวะการแข่งขันระหว่างธนาคารพาณิชย์ด้วยกันเอง รวมถึงการแข่งขันกับช่องทางการลงทุนอื่นๆ ก็ตาม


Written by :
พิราบขาว
 

Comments

B
i
u
Quote
Code
List
List item
URL
Name *
Code   
ChronoComments by Joomla Professional Solutions
Submit Comment
 
 

Login

Forgot your password? Create an account
mod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_countermod_vvisit_counter
mod_vvisit_counterToday1245
mod_vvisit_counterAll days1245

We have: 1244 guests online
Your IP: 3.137.201.196
Mozilla 5.0, 
Today: Feb 07, 2025

4344432