ดัชนีฯ ปีนี้มีสิทธิแตะแค่ 800 จุด
|
|
|
|
Thursday, 03 June 2010 16:48 |
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน)(BLS) เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างการทบทวนการปรับเป้าดัชนีฯ ในปีนี้ลง จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 830 จุด โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะลดลงเหลือที่ 800 จุด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลผลกระทบจากปัญหากรณีหนี้ในยุโรป รวมทั้งผลกระทบจากปัญหาความรุนแรงของการเมืองในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้บริษัทฯ จะมีการนำข้อมูลผลกระทบทั้งหมดดังกล่าว ซึ่งจะต้องติดตามในช่วง 6 เดือนที่เหลือว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งจะมีการเรียกประชุมเพื่อพิจารณาถึงผลกระทบที่ชัดเจนอีกครั้ง
นอกจากนี้ ประเมินว่าหากเกิดกรณีการยุบสภาฯ คาดว่าจะไม่สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนต่างชาติ ยกเว้นในกรณีที่มีเหตุการณ์รุนแรง โดยปัจจัยที่กำหนดทิศทางการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ยังอยู่ที่ปัจจัยหลัก คือ ปัญหาหนี้ในยุโรป อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่นักลงทุนต่างชาติได้มีการขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเหลือยอดซื้อสุทธิอยู่ที่ 2.2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 4% ของมาร์เก็ตแคปตลาดฯ เทียบกับจุดสูงสุดในปี 2550 ที่มียอดซื้อสุทธิอยู่ที่ 3 แสนล้านบาท ทั้งนี้ระดับยอดซื้อสุทธิดังกล่าวเป็นยอดซื้อสุทธิที่พิจารณาจากการลงทุนโดยไม่นับการเข้ามาถือหุ้นในรูปแบบพาร์ทเนอร์ต่างชาติ ซึ่งประเมินว่าเป็นระดับที่ต่ำมาก และมีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาซื้อสุทธิเพิ่มเติมเมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่ขายออกไปก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่ใช่ตลาดหลักที่นักลงทุนต่างชาติเลือกเข้ามา และเทียบกับตลาดหุ้นในเอเชียอื่นๆ ที่ยังน่าสนใจมากกว่า ได้แก่ ตลาดหุ้นไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน อีกทั้งในขณะนี้ค่า Discount P/E เริ่มมีส่วนต่างที่แคบลงเหลือเพียง 5% จากระดับปกติที่ 15% เนื่องจากตลาดหุ้นในภูมิภาคเอชีย Discount จากผลกระทบจากความกังวลปัญหาหนี้ในยุโรป ขณะที่ในช่วงที่มีปัญหาทางการเมืองในเดือน พ.ค. ล่าสุด ค่า Discount P/E ของตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นเอเชียมีส่วนต่าง Discount P/E ต่ำกว่ามากถึง 31-32%
นอกจากนี้ ประเมินว่าการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือ มีโอกาสที่จะเคลื่อนไหวผันผวนและอยู่ในกรอบแคบๆ
โดยสำหรับพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ บริษัทฯ ได้มีการปรับคำแนะนำ โดยให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในทองคำ โดยในช่วงต้นปีได้ปรับคำแนะนำให้ลงทุนในทองคำในสัดส่วน 11% ของพอร์ต จากสิ้นปีที่แนะนำให้ลงทุน 4% โดยประเมินว่าราคาทองคำภายในสิ้นปีนี้มีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 1,300 เหรียญต่อออนซ์ โดยคาดว่าจะให้ผลตอบแทนอยู่ที่ประมาณ 8-10% ซึ่งหากราคายังต่ำกว่าระดับดังกล่าวยังคงสามารถลงทุนได้
อีกทั้งยังเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในน้ำมันเป็น 9% จากเดิมที่ 4% โดยมอร์แกน สแตนเลย์ คาดการณ์ราคาน้ำมันในช่วงสิ้นปีมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไปที่ระดับ 95 เหรียญต่อบาร์เรล เนื่องจากในขณะนี้สหรัฐฯ เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลขับขี่รถยนต์ ส่งผลให้ความต้องการบริโภคน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงยังเข้าสู่ช่วงฤดูพายุเฮอริเคน และได้มีการพยากรณ์ว่าพายุเฮอริเคนในปีนี้จะมีมากกว่าปกติ
โดยสำหรับสินทรัพย์ที่เหลือที่แนะนำ คือ แนะนำให้ลงทุนในตั๋วเงินคลังในสัดส่วน 52% ลดจากเดิมที่ 55% ของพอร์ต ส่วนหุ้นกู้เอกชน แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักเป็น 6% จากเดิมที่ 4% และลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์อีก 5%
สำหรับคำแนะนำการลงทุนในหุ้น แนะนำให้ลดสัดส่วนการลงทุนเหลือ 13% จากเดิมที่ 21% โดยหุ้นที่แนะนำอยู่ในกลุ่ม SET50 แต่ในหุ้นปัจจัยพื้นฐานแนะนำให้เก็งกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงาน และเล่นรายตัวในหุ้นธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ KTB และ KBANK กลุ่มอาหาร คือ CPF และกลุ่มปิโตรเคมี คือ PTTCH
โดยตั้งเป้าผลตอบแทนจากพอร์ตลงทุนความเสี่ยงต่ำดังกล่าวทั้งปีจะอยู่ที่ประมาณ 4.5% โดยผลตอบแทนในช่วง 5 เดือนแรก เฉลี่ยอยู่ที่ 1% โดยผลตอบแทนสูงสุดที่เคยทำได้ในช่วงดังกล่าวอยู่ที่ 3%
|
Comments