ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ และธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ออกบทวิเคราะห์ เรื่อง ติดอาวุธเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้า..ด้วยเทคโนโลยียุคใหม่ โดยระบุว่า

·        ปัจจุบันอุปกรณ์ประหยัดพลังงานได้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย ส่งผลให้เทคโนโลยีที่สอดคล้องกับอุปกรณ์ดังกล่าวเริ่มเข้ามามีบทบาทและเป็นที่ต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะระบบบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System: EMS) ในอาคารและโรงงาน ซึ่งสามารถที่จะดึงข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์หาปริมาณการใช้พลังงานของอาคาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมโยงกับผู้บริโภคมาใช้ร่วมกับระบบ EMS อีกด้วย

·        อีไอซีมองว่าธุรกิจจัดการพลังงาน (Energy Service Company: ESCO) ที่สามารถช่วยลูกค้าลดต้นทุนค่าไฟฟ้าลงได้ ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง มีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นอีกในระยะต่อไป แต่การพัฒนาระบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละตลาดให้ตรงจุดเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการ ESCO ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากลักษณะการประกอบธุรกิจของแต่ละตลาดจะแตกต่างกัน อีกทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะหนุนให้ธุรกิจเติบโตขึ้นดีได้ในอนาคต

อนาคตทิศทางค่าไฟฟ้าเฉลี่ยของประเทศมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น สะท้อนจากการขยับตัวขึ้นของราคาก๊าซธรรมชาติ และค่าไฟฟ้าที่มีการปรับขึ้นถึง 2 งวดติดต่อกันในปีนี้ การผลิตไฟฟ้าของไทยในปัจจุบันยังพึ่งพาการใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติอยู่เป็นหลัก ที่ราว 60% ของไฟฟ้าทั้งหมดที่ไทยผลิตได้ ซึ่งตามแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ (Gas Plan 2015) ได้ประมาณการว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า ปริมาณการนำเข้า LNG ของไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้น คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ราว 70% ของความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติในประเทศ เทียบกับปัจจุบันที่มีอยู่แค่ราว 20% โดยการนำเข้า LNG ที่เพิ่มขึ้นนั้น (รูปที่ 1) จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้าให้มีการปรับตัวสูงขึ้นตาม ดังนั้น การเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจควรให้ความสำคัญ เพื่อลดค่าใช้จ่ายของพลังงานให้น้อยลง ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการหันมาใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานให้มากขึ้น การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการพลังงานภายในตัวอาคารและโรงงาน เป็นต้น

ในปัจจุบันอุปกรณ์ประหยัดพลังงานได้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ส่งผลให้เทคโนโลยีที่สามารถสอดรับกับอุปกรณ์ดังกล่าวมีโอกาสที่จะขยายตัวขึ้น มีหลายประเทศที่ให้ความสำคัญกับการนำอุปกรณ์ประหยัดพลังงานมาใช้ ยกตัวอย่าง ประเทศอินเดียที่กำลังผลักดันให้นำหลอดไฟ LED มาใช้แทนหลอดไฟแบบเดิม ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนไปแล้วกว่า 253 ล้านดวงทั่วประเทศ คิดเป็นสัดส่วนอยู่ที่ราว 33% ของหลอดไฟทั้งหมดที่ใช้อยู่ (รูปที่ 2) ส่งผลให้ภายใน 7 ปี อัตราการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าสูงสุด (peak power deficit) ของประเทศลดลงไปกว่า 10% (รูปที่ 3) นอกจากนี้ ตามพื้นฐานโครงสร้างของหลอดไฟ LED ยังสามารถควบคุมการทำงานได้ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ผู้ประกอบการที่เห็นโอกาสตรงจุดนี้หันมาพัฒนาระบบบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System: EMS) ให้สื่อสารกับตัวหลอดได้ อาทิ ระบบ LEDGINE platform ของบริษัท Philips ซึ่งผู้จัดการสถานีบริการน้ำมัน Gazprom ในโรมาเนีย ได้นำมาใช้ตั้งค่าการทำงานของหลอดไฟทั้งสถานีแบบเรียลไทม์ผ่านมือถือ เพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าของสถานีในช่วงที่ไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ ซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นไม่ได้มีแค่เฉพาะกับเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับระบบแสงสว่าง (lighting) เท่านั้น แต่ยังมีระบบอื่นๆ เช่น การนำเทคโนโลยีควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ (smart thermostats) มาใช้กับระบบปรับสภาวะอากาศ (Heating, Ventilation and Air Conditioning: HVAC) การติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมความเร็วรอบมอเตอร์ (Variable Speed Drive: VSD) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบ Voltage Vector Control (VVC) สำหรับป้องกันไม่ให้เกิดการสูญเสียพลังงานความร้อนในมอเตอร์ (derating) ของระบบปั๊มน้ำและระบบการผลิตในโรงงาน เป็นต้น

ระบบการบริหารจัดการพลังงานภายในอาคารและโรงงานจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นในอนาคต เพื่อตอบโจทย์การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงมากยิ่งขึ้นกว่าปัจจุบัน โดย 3 ปัจจัยหลักที่จะหนุนให้ระบบ EMS ขยายตัวขึ้น ได้แก่ 1) แนวโน้มของราคาอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) ที่ถูกลง ซึ่งจะทำให้การติดตั้งอุปกรณ์ที่เอาไว้ดึงข้อมูล เพื่อนำมาวิเคราะห์การใช้พลังงานในอาคารมีมากขึ้น 2) แนวโน้มการขยายตัวของอาคารสีเขียว (Green Building) จะหนุนให้เกิดความต้องการสำหรับการควบรวมระบบ EMS เข้ากับระบบพลังงานหมุนเวียนในอาคารมากขึ้น เช่น ระบบโซล่าร์บนหลังคา และระบบกักเก็บพลังงาน เป็นต้น และ 3) การปรับตัวของเจ้าของธุรกิจให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่หันมาให้ความสำคัญกับบริการที่สามารถปรับแต่งตามความต้องการได้เอง (personalization) โดยระบบ EMS ที่สามารถพัฒนาขึ้นมาให้เป็นแบบ Personalization ควบคู่ไปกับการประหยัดพลังงานของอาคาร จึงเป็นโอกาสใหม่ที่เกิดขึ้นจากการนำเทคโนโลยีที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภคมาใช้ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่หันมาจับตลาดกลุ่มนี้แล้ว เช่น application ของ Comfy ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาร่วมกับผู้ที่อยู่อาศัยจริงในโซนนั้น (occupant-facing) เพื่อวิเคราะห์หาอุณหภูมิที่ดีที่สุดของแต่ละโซนในอาคาร โดยเมื่อผู้อยู่อาศัยป้อนข้อมูลอุณหภูมิที่ทำให้ตนเองรู้สึกสบายเข้าไปในระบบแล้ว ระบบก็จะเรียนรู้และคำนวณหาอุณหภูมิที่เหมาะที่สุดได้เองจาก Machine learning algorithms โดยระบบนี้สามารถนำไปใช้ในหลายธุรกิจ อาทิ ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร ซึ่งนอกจากจะทำให้ผู้ที่ใช้บริการรู้สึกสบายแล้ว ยังช่วยลดค่าไฟฟ้าของเจ้าของกิจการอีกด้วย

อีไอซีมองว่าธุรกิจจัดการพลังงาน (Energy Service Company: ESCO) ที่สามารถช่วยให้ลูกค้าลดต้นทุนค่าไฟฟ้าลงได้ควบคู่ไปกับมีการพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง ยังมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นอีกในระยะต่อไป จากแผนอนุรักษ์พลังงานไทยระยะยาว (EEP2015) ที่ตั้งเป้าหมายว่าจะลดปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศลงให้ได้อีก 89,672 หน่วย ภายในปี 2039 นั้น หากคิดเป็นเม็ดเงินจะอยู่ที่ราว 3 แสนกว่าล้านบาท[1] ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าตลาดในอนาคตของธุรกิจ ESCO โดยผู้ประกอบการควรที่จะเลือกใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานอย่างเหมาะสม และมีการปรับปรุงระบบให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทั้งระบบและอุปกรณ์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในการพัฒนาระบบควรมองให้ครอบคลุมไปมากกว่าการเน้นที่จะลดต้นทุนค่าไฟฟ้าของอาคารลงเพียงอย่างเดียว แต่การที่ระบบสามารถตอบโจทย์ผู้ที่เข้ามาใช้บริการในอาคารให้รู้สึกมีความสุขและอยากเข้ามาใช้บริการซ้ำ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการ ESCO ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน

อีไอซีแนะผู้ประกอบการทั้งภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมควรหาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของกิจการ เพื่อลดต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในอนาคต  ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบ Lighting HVAC และ Water heating ด้วยการนำระบบ EMS เข้ามาประยุกต์ใช้ นอกจากนี้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องก่อสร้างหรือปรับปรุงอาคาร/โรงงานใหม่ก็ควรที่จะออกแบบอาคารที่ประหยัดพลังงาน เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้าในระยะยาว ซึ่งในทั้ง 2 กรณีดังกล่าว การมองหา ESCO ที่มีความเชี่ยวชาญมาเป็นที่ปรึกษาด้านระบบก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับกิจการอย่างยั่งยืน

สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ ESCO ควรศึกษาความต้องการใช้ไฟฟ้าของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายให้ชัดเจน เพื่อที่จะได้ออกแบบระบบให้สามารถตอบโจทย์ได้ตรงจุด  ทั้งนี้ กลุ่มอาคารพาณิชย์ สำนักงาน และโรงงาน เป็นตลาดกลุ่มแรกที่น่าสนใจ เนื่องจากมีสัดส่วนต้นทุนการใช้ไฟฟ้าสูงถึงราว 10-20% ซึ่งรูปแบบการเข้าไปเจาะตลาดของแต่ละกลุ่มก็จะแตกต่างกันไป โดยอาคารพาณิชย์และสำนักงานควรที่จะนำระบบ EMS ที่มีประสิทธิภาพเข้าไปจับ เพื่อลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าของอาคารในภาพรวมลง ในขณะที่การเข้าไปลด peak power demand ของโรงงานอาจจะเหมาะสมกว่า ทั้งนี้ สำหรับตลาดที่สัดส่วนต้นทุนการใช้ไฟฟ้ารองลงมาอยู่ที่ราว 5-10% อย่างธุรกิจค้าปลีก/ค้าส่ง โรงแรม และโรงพยาบาล ก็เป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เนื่องจากลักษณะของธุรกิจของลูกค้ากลุ่มนี้ค่อนข้างที่จะเฉพาะตัว และยังสามารถสร้างโอกาสจากการขยายสาขาของลูกค้าอีกด้วย เช่น การเข้าไปจับธุรกิจโรงพยาบาล ระบบจะต้องมีความน่าเชื่อถือ (reliability) ที่สูงกว่าธุรกิจกลุ่มอื่น แต่อาจจะต้องเจอความท้าทายในเรื่องของอุปกรณ์ที่ราคาแพง ประกอบกับสภาพแวดล้อมที่อ่อนไหว (sensitive) ซึ่งหากผู้ประกอบการ ESCO สามารถเจาะตลาดนี้ได้ ก็จะสามารถสร้างความเชี่ยวชาญให้กับระบบของตนเองได้ (specialization) ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีก/ค้าส่งที่มีสาขาจำนวนมากและมีการใช้ระบบ EMS ที่คล้ายคลึงกัน ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ ESCO สามารถที่จะขยายฐานของระบบ (scale up) ตามการขยายสาขาของธุรกิจได้ รวมถึงสามารถที่จะเก็บข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์และปรับปรุงระบบได้ดียิ่งขึ้นในระยะต่อไป

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

Enhancing energy efficiency with new technologies

·        Nowadays the use of energy-saving products have become widespread, resulting in an increasing demand for related technologies. This is especially true for energy management system (EMS) for building and factories, which have been developed to function with energy-saving technologies. EMS can analyze energy usage in each building to optimize energy efficiency. This presents the industry with an opportunity to introduce the technology that enable consumers to better control their energy consumption.

·        Energy service companies (ESCOs), who help their clients save energy costs and constantly refine their system can expect to see growth. EIC recommends ESCO operator to not overlook the market’s unique characteristics when developing a system, as different markets require different needs. This also includes consumers’ changing behaviors. These factors will be important in determining the growth of their business.

The country’s average electricity price is expected to rise due to increasing natural gas prices which was reflected in the increase in electricity price in the past two adjustment periods. Currently, Thailand is heavily reliant on natural gas, with around 60% of electricity generation coming from natural gas power plant. According to Thailand’s 2015 Gas Plan, in 20 years, the country’s imported LNG will account for 70% of the country’s natural gas need, an increase from the current baseline of 20%. The increase in imported LNG (figure 1) will inevitably hike up electricity costs. Therefore, businesses are advised to prepare for increased costs by minimizing energy costs and maximizing energy efficiency. This can be done by using energy-saving technologies and enhancing the efficiency of energy management in buildings and factories.

The spread of energy-saving technologies will drive increase in demand for related technologies and systems. In recent years, many countries have turned attention to energy-saving technologies for domestic manufacturing activities. For example, India, a country that has been actively pushing for LED light bulbs to replace inefficient light bulbs. It has now replaced as many 253 million light bulbs, accounting for 33% of the total light bulbs used in the country (figure 2).  As a result, the country’s peak power deficit has dropped by 10% in seven years (figure 3). Moreover, since LED light bulbs can be controlled through an electronic system, the entrepreneurs will find it desirable to develop an EMS that can communicate with LED light bulbs. For instance, Philips’ LEDGINE platform helps the manager of Gazprom service station in Romania to control in real time the light bulbs in the entire station through a mobile device. This helps reduce energy consumption in the gas station when there are no customers. Moreover, the technology is not limited to lighting, but also includes other activities in which energy-saving technologies can play an important role, such as smart thermostats, heating ventilation and air conditioning (HVAC), variable speed drive (VSD), or voltage vector control (VVC) that prevents energy loss (derating) in the motors of water pumps and manufacturing systems in plants.

Energy management system (EMS) in building and factories will be in greater demand in the future, thanks to a growing interest in energy efficiency. Factors that will contribute to the expansion of EMS includes: 1) Lower costs of Internet of Things (IoT) devices that will enable widespread installation of energy analytics devices in the building and factories. 2) “Green building” trends that will drive an increase in system integration between EMS and renewable system e.g. solar roof-top and energy storage system. 3) Businesses’ growing attention to personalization of consumer behavior, which will also necessitate a stronger need for EMS that can be developed to serve consumer. For example, Comfy, an energy management application, has been developed to analyze the optimal temperature in each zone of a building using data temperature preference data of each building occupant who input their desired temperature through the mobile app. Then, the application will learn and calculate the most suitable temperature using machine learning algorithms. This system can be applied to other businesses, e.g. hotels and restaurants, as it allows anyone in the building to adjust temperatures while saving energy consumption at the same time.

EIC views that an energy service company (ESCO), a service that can be developed to continually to help clients reduce energy costs, has a promising growth prospect. According to the  EEP 2015, Thailand’s long-term energy plan, which sets as a target a reduction of 89,672 electricity consumption units, or around 300 billion Thai Baht, by 2039.  This bodes well for the future of ESCOs who can select appropriate energy-saving technologies and continuously upgrade their systems to take advantage of new technologies, to optimize their customers’ energy consumption. Moreover, in developing the system, businesses are advised to take a broader look than simply reducing the electricity costs alone. ESCO operators should remember that it is important to have a system that makes the building environment pleasant. If the building serves the users well, the latter will be likely to repeat their visits. Such is an example of sustainable business practices.

EIC advises entrepreneurs to secure the new technologies to enhance the energy efficiency for saving costs in the future This may include increasing the efficiency of the HVAC lighting system and water heating by introducing an EMS into the system. Moreover, in an event of building renovation or reconstruction, energy-saving technologies should be incorporated in view of long-time cost saving. In the two cases, it is advised that an ESCO should be consulted in order to further the business’s future sustainability.

ESCOs should study the electricity consumption needs of their potential target clients in order to design a specific service In this regard, commercial buildings, office buildings, and industrial plants are target groups of note, since electricity consumption accounts for approximately 10-20% of their operating costs. However, their requirements are rather different. For commercial and office buildings, an EMS should be introduced to reduce the overall electricity consumption. For industrial plants, by contrast, a reduction in peak power demand may be more appropriate. The secondary market, where electricity consumption accounts for 5-10% of the operation costs, are retail and wholesale businesses, hotels, and hospitals. This is a potentially attractive market, since their characteristics are business-specific. Moreover, these businesses also have potential to expand their customer bases. For example, a company that is entrusted to deal with hospitals is often deemed to be more reliable others. However, this also presents a number of challenges, e.g. expensive equipment and sensitive working environments. If the ESCO operator can break into this market, they can develop specialization for their own business. Similarly, for retail and wholesale businesses that have many branches and use a similar EMS, the ESCO operator can take advantage of this opportunity by scaling up their operation in line with the future expansion of the branches. Moreover, this also means greater access to data, which can be analyzed for future system improvements.

Written by :

กระแสหุ้นออนไลน์

 

Comments

B

i

u

Quote

Code

List

List item

URL

Name *
Code   
ChronoComments by Joomla Professional Solutions

Submit Comment