ความร่วมมือ: กุญแจสำคัญในการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน |
Tuesday, 17 September 2024 10:17 | |||
โดย วีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล กรรมการผู้จัดการ Deputy CEO และ Wholesale Banking ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ในขณะที่บริษัทชั้นนำในประเทศไทยกำลังมุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำของประเทศ เรากำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น นั่นคือการจัดการกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน หรือที่เรียกว่า "ขอบเขตที่ 3" ความท้าทายนี้เกิดจากโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อน ประกอบด้วยซัพพลายเออร์ต้นน้ำขนาดเล็กจำนวนมากที่กระจายตัวและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซัพพลายเออร์เหล่านี้ อาทิ เกษตรกร ผู้ผลิตชิ้นส่วน และผู้รับเหมาก่อสร้าง มักไม่ให้ความสำคัญกับการจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากขาดความรู้ ทรัพยากร และความเชี่ยวชาญในการจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานของประเทศยังไม่พร้อมเต็มที่สำหรับเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ไม่ว่าจะเป็นด้านโครงข่ายพลังงานสาธารณะ ระบบการจัดการขยะ หรือโครงสร้างพื้นฐานสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีค่าใช้จ่ายสูงในแง่ของงบประมาณ แต่ยังอาจมีต้นทุนทางการเมืองด้วย เนื่องจากต้องใช้เงินภาษีของประชาชน ตัวอย่างเช่น การปรับปรุงโครงข่ายพลังงานเพื่อรองรับแหล่งพลังงานหมุนเวียนจากผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระไม่สามารถทำได้ในชั่วข้ามคืน และจำเป็นต้องให้ความรู้แก่ประชาชนว่าในช่วงเปลี่ยนผ่าน เชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสัดส่วนพลังงาน แม้ว่าจะต้องเลิกใช้ในที่สุดก็ตาม ปัญหาการจัดการขยะก็เป็นอีกประเด็นสำคัญ ประเทศไทยผลิตขยะอาหารปีละ 9.7 ล้านตัน หรือประมาณ 146 กิโลกรัมต่อคน โดยกรุงเทพมหานครเพียงแห่งเดียวสร้างขยะอาหารคิดเป็นครึ่งหนึ่งของขยะทั้งหมดในเมือง ขยะอาหารส่วนใหญ่เป็นอาหารสดที่ขายไม่หมด แต่ยังสามารถนำไปบริโภคหรือแปรรูปได้ การพัฒนาระบบการจัดการด้านการขนส่ง การเก็บรักษา และการคัดแยกอาหารจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในด้านการขนส่ง แม้ว่าประเทศไทยจะมีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า แต่ส่วนใหญ่ยังเน้นไปที่รถยนต์ส่วนบุคคลมากกว่ายานพาหนะเชิงพาณิชย์ ซึ่งต้องการสถานีชาร์จไฟที่มีกำลังสูงและรวดเร็วกว่า เพื่อลดเวลาในการหยุดทำงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานภาครัฐ แม้จะมีความท้าทายมากมาย แต่เราไม่ควรย่อท้อ การแก้ปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยเริ่มจากการดำเนินการของบริษัทแต่ละแห่ง บริษัทสามารถเสนอข้อตกลงระยะยาวแก่ซัพพลายเออร์เพื่อแลกกับความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการก่อนการเสนอราคา และร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมสำหรับพนักงานและซัพพลายเออร์ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย ได้ริเริ่มโครงการ Sustainability Innovation Programme ผ่าน UOB FinLab เพื่อช่วยให้ SMEs ไทยนำหลักการความยั่งยืนไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจควบคู่ไปกับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล โครงการนี้ประกอบด้วยสัมมนาเชิงปฏิบัติการและกิจกรรมมาสเตอร์คลาสที่ออกแบบเฉพาะสำหรับ SMEs ไทยจำนวน 300 ราย ซึ่งเพิ่งสิ้นสุดลงในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การดำเนินการโดยบริษัทเพียงลำพังอาจไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องสร้างพันธมิตรอุตสาหกรรมที่เข้มแข็งเฉพาะกลุ่มเพื่อดำเนินการร่วมกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พันธมิตรเหล่านี้สามารถให้ความรู้และฝึกอบรมซัพพลายเออร์ตามลักษณะการทำงาน การจัดการข้อมูลและทำรายงาน จัดตั้งองค์กรเพื่อตรวจสอบข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และพัฒนาแผนโรดแมปการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสมกับแต่ละอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังสามารถร่วมมือกับสถาบันการเงินในการพัฒนาโซลูชันทางการเงินที่เหมาะสม และรวบรวมความต้องการพลังงานหมุนเวียนของทั้งอุตสาหกรรม การรวมกลุ่มกันเช่นนี้จะช่วยเพิ่มอำนาจต่อรองในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะหรือข้อบังคับต่างๆ โดยสะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์ทางการเงิน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และโอกาสในการสร้างงานในทุกภาคส่วน ตัวอย่างความสำเร็จของแนวทางนี้คือ Sustainable Apparel Coalition (ปัจจุบันคือ Cascale) ซึ่งก่อตั้งโดย Patagonia และ Walmart สองบริษัทที่มีแนวทางด้านความยั่งยืนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พันธมิตรนี้ได้พัฒนาดัชนี Higg Index เพื่อประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 300 ราย ครอบคลุมมากกว่า 40% ของอุตสาหกรรมสิ่งทอทั่วโลก การสร้างมาตรฐานการวัดผลกระทบนี้ช่วยให้บริษัทในอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทานเป็นความท้าทายที่ใหญ่หลวง แต่ไม่เกินความสามารถของเรา ด้วยความร่วมมือ การรวบรวมความต้องการ และการสร้างพันธมิตรอุตสาหกรรม เราสามารถก้าวไปข้างหน้าอย่างมีนัยสำคัญ เราสามารถสร้างประเทศไทยที่ยั่งยืนได้ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ถึงเวลาแล้วที่เราจะร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับธุรกิจไทยและโลกของเรา การเปลี่ยนแปลงนี้อาจใช้เวลา แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการร่วมมือกัน เราจะสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนรุ่นต่อไปได้อย่างแน่นอน
|
Today | 1680 | |
All days | 1680 |
Comments